ทะเลาะ
อย่างสร้างสรรค์
เถียงกันดีๆอาจช่วยให้รักยืนยาว
อย่างสร้างสรรค์
เถียงกันดีๆอาจช่วยให้รักยืนยาว
นักจิตวิทยากล่าวไว้นานแล้วว่า เราอาจทำนายว่าคู่สมรสใดจะอยู่ครองรักกันอย่างมีความสุขโดยดูจากวิธีที่ทั้งสองทะเลาะกัน มีคนบอกฉันว่าเวลาเถียง ฉันชอบร้อนตัวรีบตั้งป้อมโดยไม่ฟังเสียง นอกจากนั้นฉันยังเป็นคนชอบเหน็บแนม ปึงปังเกินเหตุ และเจ้าน้ำตา ฉันไม่ปฏิเสธ (แต่ถ้ากล่าวหาอย่างนี้ตอนกำลังทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง เชื่อได้เลยว่าเถียงสุดฤทธิ์)
แฟนเก่าเคยพยายามดัดนิสัยฉันโดยขอร้องให้เป็นผู้ฟังที่ดีซึ่งอ้างว่าเป็นเทคนิคการบำบัดและเป็นหลักการที่นักจิตวิทยาครอบครัวสมัยใหม่นิยมใช้ เชื่อกันว่าเทคนิคนี้จะทำให้เราเถียงด้วยใจเป็นธรรมและลดการเอาชนะคะคาน แต่ฉันอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่แล้ว แฟนหนุ่มเถียงว่าไม่จริง เพราะฉันชอบถอนใจเสียงดัง ทำจมูกบาน เดินวนไปวนมา และปึงปังออกจากห้อง การฟังอย่างมีประสิทธิภาพหมายถึงตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดประหนึ่งว่าจะมีการทดสอบและเมื่อต้องเป็นฝ่ายตอบ เราควรเรียบเรียงคำพูดใหม่ว่า
"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ..."
ฉันพร้อมจะลองดู เขาจึงเริ่มพูดจนเวลาผ่านไปหลายนาที เคราะห์ดีที่เราพูดกันทางโทรศัพท์ ฉันเลยมีเวลาจดใส่กระดาษ เขานิ่งไปครู่หนึ่งหลังพูดจบ
"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ" ฉันเอ่ย "คุณคิดว่าฉันชอบร้อนตัวแล้วเถียงข้างๆคูๆ ทำเหมือนคุณไม่มีความสำคัญ ก็เลยทำให้คุณรู้สึกป้อแป้ใช่ไหม"
"ท้อแท้"
"อ๋อ ใช่ๆ"
"ขี้โกงนี่" เขาว่า "คุณเล่นจดเอาไว้"
"เปล่านะ"
แต่แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จบลงโดยไม่มีใครช่วยได้
"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ..."
ฉันพร้อมจะลองดู เขาจึงเริ่มพูดจนเวลาผ่านไปหลายนาที เคราะห์ดีที่เราพูดกันทางโทรศัพท์ ฉันเลยมีเวลาจดใส่กระดาษ เขานิ่งไปครู่หนึ่งหลังพูดจบ
"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ" ฉันเอ่ย "คุณคิดว่าฉันชอบร้อนตัวแล้วเถียงข้างๆคูๆ ทำเหมือนคุณไม่มีความสำคัญ ก็เลยทำให้คุณรู้สึกป้อแป้ใช่ไหม"
"ท้อแท้"
"อ๋อ ใช่ๆ"
"ขี้โกงนี่" เขาว่า "คุณเล่นจดเอาไว้"
"เปล่านะ"
แต่แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จบลงโดยไม่มีใครช่วยได้
แต่กับเอ็ดแฟนใหม่ ฉันจะไม่ยอมให้อะไรผิดพลาดอีก จึงไปขอคำแนะนำจากเพื่อนที่เรียนจบด้านจิตวิทยา เพื่อนแนะให้ขึ้นต้นประโยคด้วย "ฉัน" เพราะประโยคที่ขึ้นด้วย "คุณ" เป็นการต่อว่าทำให้คนฟังตั้งป้อมเถียงจนไม่มีใครฟังใคร เช่น เราไม่ควรพูดกับคนรักว่า "คุณไม่เคยล้างจานเลย เห็นแก่ตัวจัง" แต่ควรพูดว่า "ฉันรู้สึกโกรธและไม่ยุติธรรมเลยเวลาคนที่ฉันรักทิ้งจานไว้ให้ล้างทั้งที่เขาเป็นคนใช้จานนั่น แถมยังกินอาหารที่เหลือจนเกลี้ยงตู้แม้จะรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจจะเก็บไว้กินตอนกลางวัน" อีกเทคนิคที่เพื่อนแนะคือ "การคล้อยตาม" โดยพยายามเห็นพ้องกับอีกฝ่าย "ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณจึงหัวเสียที่ผมไม่ล้างจานเล็กๆแค่ใบเดียว แถมกินพิซซ่าชิ้นสุดท้าย ถ้าผมคิดเล็กคิดน้อยอย่างคุณก็คงโกรธเหมือนกัน"
ไม่นานมานี้ฉันงัดเทคนิคดังกล่าวข้างต้นมาใช้ ขณะขับรถอยู่โดยมีเอ็ดนั่งอยู่ข้างๆ ฉันไม่ทันเห็นสัญญาณให้หยุด ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ขับรถอาจเผลอได้ จริงไหม แต่เอ็ดเห็นป้ายสัญญาณ เลยทำท่าเหยียบเบรกเต็มแรงเป็นการบอกให้ฉันรู้ "ฉันรู้สึกเหมือนถูกตำหนิทุกครั้งที่คุณพร่ำบ่นเวลาฉันขับรถ" ฉันเริ่ม "แล้วใครกันล่ะที่เคยทำให้เราเกือบตายเพราะเลี้ยวใส่รถที่พุ่งมาหน้าห้างเมื่อวันก่อน"
"ต่อว่าผมตรงๆว่าเป็นคนโดยสารที่จุ้นจ้านไม่เข้าท่าดีกว่าน่า" เอ็ดติง
ค่ำนั้น ฉันพยายามบอกเอ็ดว่าฉันเรียนรู้ไม่น้อยจากการเป็นผู้ฟังที่ดีและคล้อยตามอีกฝ่าย เอ็ดตั้งใจฟัง จับมือฉันไปกุมไว้แล้วบอกว่า "เวลาคุณพูดถึงเรื่องอย่างนี้ ผมรู้สึกเหมือน...จะว่ายังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนอยากอาเจียนจริงๆนะ"
ไม่นานมานี้ฉันงัดเทคนิคดังกล่าวข้างต้นมาใช้ ขณะขับรถอยู่โดยมีเอ็ดนั่งอยู่ข้างๆ ฉันไม่ทันเห็นสัญญาณให้หยุด ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ขับรถอาจเผลอได้ จริงไหม แต่เอ็ดเห็นป้ายสัญญาณ เลยทำท่าเหยียบเบรกเต็มแรงเป็นการบอกให้ฉันรู้ "ฉันรู้สึกเหมือนถูกตำหนิทุกครั้งที่คุณพร่ำบ่นเวลาฉันขับรถ" ฉันเริ่ม "แล้วใครกันล่ะที่เคยทำให้เราเกือบตายเพราะเลี้ยวใส่รถที่พุ่งมาหน้าห้างเมื่อวันก่อน"
"ต่อว่าผมตรงๆว่าเป็นคนโดยสารที่จุ้นจ้านไม่เข้าท่าดีกว่าน่า" เอ็ดติง
ค่ำนั้น ฉันพยายามบอกเอ็ดว่าฉันเรียนรู้ไม่น้อยจากการเป็นผู้ฟังที่ดีและคล้อยตามอีกฝ่าย เอ็ดตั้งใจฟัง จับมือฉันไปกุมไว้แล้วบอกว่า "เวลาคุณพูดถึงเรื่องอย่างนี้ ผมรู้สึกเหมือน...จะว่ายังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนอยากอาเจียนจริงๆนะ"
จากนั้นไม่นาน เอ็ดนำข้อความที่ตัดจากหนังสือพิมพ์มาวางไว้ให้ที่โต๊ะ ข้อความกล่าวถึงการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งติดตามบันทึกเทปวิดีโอคู่แต่งงานใหม่ 130 คู่ขณะโต้เถียงกันเป็นเวลาหกปี ผลปรากฏว่าคู่ที่ยังอยู่ด้วยกันแทบไม่เคยใช้เทคนิคการฟังอย่างมีประสิทธิภาพและคล้อยตามความรู้สึกของกันเลย นักวิจัยรู้สึก "ช็อก" เพื่อพบว่าคู่ที่มีความสุขต่างทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนคนทั่วไป มีอารมณ์โกรธ ทำความเข้าใจ แล้วคืนดีกัน
เพียงรู้ว่าไม่ต้องขึ้นต้นคำพูดด้วยประโยคว่า "ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ" ก็รู้สึกดีใจจนบอกกับตัวเองทันทีเลยว่า คราวหน้าถ้าเอ็ดโกรธขึ้นมา ฉันจะไม่ตั้งป้อมเถียงเขาหัวชนฝาอีก
แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นตอนบ่ายวันเสาร์ ฉันเอาลำโพงเครื่องเล่นสเตอริโอรุ่นปี 1970 ไปทิ้ง แต่เอ็ดอยากเก็บไว้เพราะคิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าอาจใช้ประโยชน์ได้ ฉันต่อว่าเขาเป็นการใหญ่ที่ไปรี้อขยะเพื่อตรวจดูว่าฉันเอาอะไรไปทิ้งบ้าง "นี่คุณกำลังจับผิดฉันนะ"
เอ็ดหน้าตาตื่น "คุณเอาของผมไปทิ้งโดยไม่บอกสักคำ"
ระฆังดังหมดยก เราต่างถอยเข้ามุมของตัวเอง พอถึงเวลาอาหารค่ำ ฉันก็โผล่เข้าไปในครัวพร้อมด้วยลำโพงที่เช็ดสะอาดเอี่ยม ส่วนเอ็ดสัญญาว่าจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาฉันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เขาขอให้บอกหากฉันคิดว่าเขากำลังจุ้นจ้านหรือรื้อข้าวของที่ฉันทิ้งไปแล้วขึ้นมาใหม่ "ผมไม่รู้ตัวเลย ช่วยบอกด้วยก็แล้วกัน" เขายิ้มหวาน "ผมจะได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักหน่อย"
แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นตอนบ่ายวันเสาร์ ฉันเอาลำโพงเครื่องเล่นสเตอริโอรุ่นปี 1970 ไปทิ้ง แต่เอ็ดอยากเก็บไว้เพราะคิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าอาจใช้ประโยชน์ได้ ฉันต่อว่าเขาเป็นการใหญ่ที่ไปรี้อขยะเพื่อตรวจดูว่าฉันเอาอะไรไปทิ้งบ้าง "นี่คุณกำลังจับผิดฉันนะ"
เอ็ดหน้าตาตื่น "คุณเอาของผมไปทิ้งโดยไม่บอกสักคำ"
ระฆังดังหมดยก เราต่างถอยเข้ามุมของตัวเอง พอถึงเวลาอาหารค่ำ ฉันก็โผล่เข้าไปในครัวพร้อมด้วยลำโพงที่เช็ดสะอาดเอี่ยม ส่วนเอ็ดสัญญาว่าจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาฉันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เขาขอให้บอกหากฉันคิดว่าเขากำลังจุ้นจ้านหรือรื้อข้าวของที่ฉันทิ้งไปแล้วขึ้นมาใหม่ "ผมไม่รู้ตัวเลย ช่วยบอกด้วยก็แล้วกัน" เขายิ้มหวาน "ผมจะได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักหน่อย"