BumQ 4

ล้ำลึกและไม่เคยล่าสมัย

ล้ำลึกและไม่เคยล่ามั
สุภาษิตช่วยให้เข้าใจจีนยุคใหม่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


องปีก่อน ผมมีโอกาสคุยกับชาวนาที่กำลังหว่านไถกลางทุ่งนอกเมืองเซี่ยงไฮ้ ชาวนาเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน หลังมีเครื่องรับโทรทัศน์และร้านวิดีโอ ผมฟังสำเนียงเหน่อแบบจีนบ้านนอกพอได้

ชาวนาเอ่ยขึ้นว่า "ไม่มีวันรู้ว่ากวางจะตายด้วยน้ำมือใคร"

ผมจ้องหน้าชาวนา ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร พอตั้งสติได้ ผมพยักหน้าทำทีเหมือนรู้แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ต่อมา ผมเปิดพจนานุกรมสุภาษิตจีน แล้วพบคำอธิบายยืดยาวเล่าเรื่องขุนพลโบราณผู้พยายามทำนายอนาคต เขาบอกทหารคนสนิทว่า "นายไม่มีวันรู้หรอกว่ากวางจะตายด้วยน้ำมือใคร"

ภาษาจีนเป็นภาษาซึ่งยากจะเข้าใจได้ลึกซึ้งและครบถ้วน คำที่ความหมายคล้ายกันมีมากเกินจำ และความหมายของแต่ละคำหรืออักษรแต่ละตัวต้องพิจารณาจากบริบทแวดล้อมเป็นหลัก

แต่ส่วนยากที่สุดน่าจะเป็นสุภาษิตที่คนจีนชอบสอดแทรกไว้ในภาษาของตน

นจีนแทบทุกคนชอยเอ่ยอ้างสุภาษิตไม่ว่าจะเป็นชาวนา คนกวาดถนน บุรุษไปรษณีย์ อาจารยมหาวิทยาลัย หรือนักประพันธ์ ค่านิยมนี้สะท้อนความรู้สึกภาคภูมิใจที่พวกเขามีต่อวัฒนธรรมจีนโบราณ อย่างไรก็ดี หากมองให้ลึกซึ้งจะพบว่าสุภาษิตชี้แนะและช่วยให้เราเข้าใจความเป็นไปของสังคมจีนมากขึ้น นอกจากนี้คนจีนยังชอบยกสุภาษิตเพื่อกลบเกลื่อนหรือแก้ต่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนา

"หยั่งหินข้ามแม่น้ำ"
เป็นคำพังเพยที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำสูงสุดของจีนกล่าวไว้ก่อนเสียชีวิต เติ้ง เสี่ยว ผิง ชอบใช้เวลาอธิบายความไม่แน่นอนของผลลัพธ์จากการใช้วิถีทางทุนนิยมในประเทศสังคมนิยมอย่างจีน ซึ่งเป็นโครงการเล็งผลเลิศที่ไม่มีใครรู้อนาคตอย่างแท้จริง

ในสังคมที่เน้นย้ำให้ประชาชนเคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจ สุภาษิตเป็นเครื่องมือที่ช่วยค้ำจุนผู้กุมอำนาจได้อย่างแนบเนียน ผู้นำทางการเมืองเข็นสุภาษิตออกมาเพื่อปิดปากปลอบประโลม หรือไม่ก็เบนความสนใจของผู้ใต้บังคับบัญชา การเลือกใช้สุภาษิตโบราณเท่ากับบอกเป็นนัยว่าปัญหาต่างๆสั่งสมมานานและยากจะแก้ไข

นช่วงที่ความคิดทางการเมืองเป็นแบบสุดโต่ง รัฐบาลจีนก็ใช้ประโยชน์เต็มที่จากนิสัยพึ่งพาสุภาษิตของคนจีนทั่วประเทศ ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษ 1960 เมื่อฝ่ายซ้ายจัดครองเมือง คนจีนนับล้านเดินตามคติพจน์ท่านประธานเหมาในสมุดปกแดงอย่างว่านอนสอนง่าย

แม้ในช่วงที่สังคมฟังเหตุผลมากขึ้น คนจีนก็ยังนำสุภาษิตมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การตัดสินใจหรือการกระทำของตน เมื่อไม่นานมานี้ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้างคนหนึ่งไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านการสร้างอาคารสูงทันสมัยในเซี่ยงไฮ้ และพบว่ามีการก่อสร้างอาคารลักษณะนี้จำนวนมากเพื่อแทนสถาปัตยกรรมสวยงามโบราณที่ถูกทุบทำลายทิ้ง เมื่อผู้คนคาดคั้นหนักขึ้น เขากลับตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า "ต้องเรียงให้แน่นดุจฟันหวี"

ผู้อำนวยการคนนั้นคงต้องการบอกว่าจะมีการก่อสร้างอาคารไปเรื่อยๆจนกระทั่งอัดแน่นเต็มพื้นที่ และคิดว่าการอ้างสุภาษิตโบราณน่าจะช่วยให้การกระทำดังกล่าวกลายเป็นเรื่องสมเหตุสมผลขึ้นมาได้

นวันที่อารมณ์ไม่สดใสและครอบครัวคลุ้งไปด้วยสุภาษิต ผมรู้สึกมั่นใจว่า คนจีนยกคำพังเพยเหล่านี้มาเพื่อปิดกั้นมิให้พวกสอดรู้สอดเห็นด้อยปัญญาเข้าถึงตัว ผมเริ่มชิงชังคำนำประโยค "พวกเราคนจีนมีคำพังเพยอยู่ว่า..." เพราะรู้ว่าคู่สนทนากำลังจะเริ่มสาธยายความหมายของสุภาษิตหนึ่งให้ฟัง

แขกผู้มาเยือนหลายคนกระหายอยากฟังความเห็นของผมเรื่องอนาคตประเทศจีน โดยส่วนใหญ่อยากทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศจีนซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ในเมื่อคนจีนเลิกเชื่อลัทธินี้เสียแล้ว

ผมจะอ้ำอึงทุกครั้งเมื่อต้องการสรรหาคำพูดมาอธิบาย ความจริงผมน่าจะตอบด้วยการยกสุภาษิตจีนประกอบ แต่ก็นึกไม่ออกเลยสักบทเวลาถูกถาม

แต่เดี๋ยวนี้ ผมรู้แล้วว่าสุภาษิตบทไหนก็ไม่เหมาะเท่า
"คุณไม่มีวันรู้เลยว่ากวางจะตายด้วยน้ำมือใคร"

เอกสารลับ...มีโตรฮิน

เอกสารลับ
มีโตรฮิน
ข้อมูลดิบของประวัติศาสตร์ คอมมิวนิสต์โซเวียต และ เคจีบี


ช่วงที่ทำงานเป็นตำรวจลับเคจีบีใหม่ๆ วาซีลี มีโตรฮิน เคยพูดวิจารณ์หน่วยงานจารกรรมตันสังกัด ยุคสตาลิน เรืองอำนาจไว้หลายเรื่อง แม้เผด็จการโซเวียตรายนี้จะลาโลกไปแล้วและรัฐบาลยุคต่อมาจะประณามระบอบการปกครองของเขา มีโตรฮินก็ยังมีความผิดฐานพูดไม่ระวังปากโดยถูกย้ายจากหน่วยปฏิบัติการภาคสนามอันน่าตื่นเต้นไปทำงานนั่งโต๊ะประจำหน่วยเก็บเอกสารของเคจีบี การย้ายงานดังกล่าวนำไปสู่การเผยความลับครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งสั่นสะเทือนวงการจารกรรมตราบจนทุกวันนี้

ลังดูแลรับผิดชอบเอกสารลับสุดยอดของเคจีบีอยู่นานหลายปี มีโตรฮินเริ่มมองเห็นธาตุแท้ของระบบซึ่งหน่วยสืบราชการลับแห่งนี้พยายามปกป้องด้วยการทำจารกรรม บ่อนทำลาย และใช้กำลังขู่คุกคาม เขาเริ่มคัดลอกเอกสารจำนวนมากและซ่อนสำเนาไว้ในที่ปลอดภัย แรงจูงใจเดียวก็คือ "เพื่อมิให้ความจริงถูกลืมและอนุชนรุ่นหลังจะรับทราบเรื่องเหล่านี้สักวัน"

และจะไม่มีใครลืมเลือนแน่นอน เพราะความจริงดังกล่าวได้รับการบันทึกไว้ในหนังสืออันน่าทึงชื่อ The Sword and the Shield : The Mitrokhin Archive and the Secret History of the KGB เขียนโดย คริสโตเฟอร์ แอนดรูว์ นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ด้วยความร่วมมือจากมีโตรฮิน นับเป็นหนังสือเล่มแรกที่เปิดเผยข้อมูลมหาศาลที่มีโตรฮินรวบรวมไว้อย่างละเอียด นั่นคือข้อมูลดิบของประวัติศาสตร์ลับในการต่อสู้ระหว่างระบอบคอมมิวนิสต์โซเวียตกับโลกเสรี

เนื้อหาในเอกสารลับของมีโตรฮินมีตั้งแต่เรื่องสุดโหดสยองขวัญไปจนถึงเรื่องจี้เส้น เช่นชื่อจริงและรหัสของสายลับโซเวียตที่เจาะเข้าไปทำงานในกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯและหน่วยงานอื่นๆ รวมทั้งชื่อเสียงเรียงนามของบรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ซึ่งลักลอบส่งความลับเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูให้รัฐบาลโซเวียต การข่มขู่นักการทูตต่างประเทศว่าจะเปิดเผยความลับทางเพศหากไม่ยอมทำงานให้ การส่งเรื่องไปลงในสื่อมวลชนทั่วโลก โดยกล่าวหาว่าฝ่ายทหารสหรัฐฯเป็นผู้คิดค้นเชื้อโรคเอดส์ขึ้นมา และอ้างว่าเศรษฐีอเมริกันรับเด็กประเทศโลกที่สามไป "เป็นบุตรบุญธรรม" เพื่อนำอวัยวะไปปลูกถ่ายให้ตนเอง

บางเรื่องก็หยุมหยิมปลีกย่อยและเหลือเชื่ออย่างเช่นคราวหนึ่ง เคจีบีโกรธมากที่รูดอร์ฟ นูเรเยฟ ยอดดาราบัลเลต์ เอาใจออกห่างไปอยู่ประเทศตะวันตก เคจีบีถึงกับจ้างให้นักเลงหัวไม้โยนเศษแก้วขึ้นไปบนเวทีบัลเลต์รอบปฐมทัศน์ของนูเรเยฟ หลังขอลี้ภัยการเมืองและกระทั่งวางแผนให้เขาขาหัก โดยใช้คำสั่งในภาษาราชการเคจีบีว่าเป็นปฏิบัติการ "มุ่งลดความชำนาญทางวิชาชีพ"

นปี 2515 กองอำนวยการที่หนึ่ง (ข่าวกรองต่างประเทศ) เริ่มย้ายที่ทำการจากบริเวณใจกลางกรุงมอสโกไปอยู่ชานเมือง ซึ่งใช้เวลานานนับสิบปี มีโตรฮินได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำดัชนีและเก็บเอกสารทั้งหมดจำนวน 300,000 แฟ้ม โดยเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวที่ตรวจสอบเอกสารต่างๆ ก่อนบรรจุลงกล่องปิดผนึกมิดชิดและนำไปส่งด้วยตัวเองยังสถานที่เก็บแห่งใหม่ ข้อมูลทุกอย่างต้องผ่านมือเขา รวมทั้งเอกสารลับที่สุดของกองอำนวยการเอส ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมสายลับโซเวียตทุกคนที่แฝงตัวทำงานภายใต้หน้าฉากของการเป็นคนต่างถิ่นในประเทศนั้นๆ

มีโตรฮินเริ่มคัดลอกข้อความจากแฟ้มลงเศษกระดาษแล้วนำกลับบ้านโดยซ่อนไว้ในรองเท้า จากนั้นก็เริ่มรู้ว่าเจ้าหน้าที่เคจีบีระดับเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกทหารยามตรวจค้นร่างกาย นอกจากจะตรวจดูถุงและกระเป๋าเอกสารบ้างเป็นครั้งคราว เขาจึงเริ่มนำโน้ตที่บันทึกไว้บนกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง ทุกสุดสัปดาห์ มีโตรฮินจะนำโน้ตปึกหนึ่ง ติดตัวไปที่กระท่อมนอกกรุงมอสโก พิมพ์คัดลอกแล้วซ่อนไว้ในถังนมซึ่งฝังอยู่ใต้พื้นห้อง หลายปีผ่านไป โน้ตเหล่านี้เพิ่มพูนจนกลายเป็นคลังเอกสารขนาดใหญ่ทั้งหมดซ่อนอยู่ในหีบและกล่องต่างๆ

หลังอ่านแฟ้มเอกสารอย่างพินิจพิเคราะห์มีโตรฮินสรุปว่าเคจีบีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งยวด ในการดำรงไว้ซึ่งแสนยานุภาพทางทหารของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นรัฐทหารที่จำเป็นต้องพึ่งพาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ แอนดรูว์กับมีโตรฮินเขียนว่า งานจารกรรมช่วยรักษาความเป็นมหาอำนาจทางทหารของโซเวียต ในขณะที่ "อัตราการตายในเด็กทารกของประเทศและดัชนีบ่งชี้ความอ่อนด้อยทางสังคมอื่นๆ" ร้ายแรงกว่าของสหรัฐฯและยุโรปตะวันตกหลายเท่าตัว

เคจีบีตอบโต้ผู้ที่พยายามเปิดโปงการปฏิบัติงานของหน่วยอย่างดุเดือด ตัวอย่างโดดเด่นในเรื่องนี้ได้แก่การตีพิมพ์หนังสือชื่อ KGB : The Secret Work of  Soviet Secret Agents ในปี 2517 ของ จอห์น บารอน หนังสือดังกล่าวทำให้ผู้บริหารเคจีบีสั่งให้เจ้าหน้าที่ "ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดจากหนังสือและเขียนรายงานไม่ต่ำกว่า 370 ชิ้น" หัวหน้าหน่วยเคจีบีในกรุงวอชิงตันได้รับคำสั่งให้ขุดคุ้ยภูมิหลังของบารอนอย่างหมดเปลือก และ "ดำเนินมาตรการเชิงรุก" เพื่อให้เขาหมดความน่าเชื่อถือ หนึ่งในความพยายามแนวนี้ได้แก่ การสร้างภาพว่าบารอนสังกัดอยู่ใน "ขุมข่ายงานของพวกยิว" ที่มุ่งต่อต้านสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้ดำเนินมาตรการเดียวกันกับนักหนังสือพิมพ์ที่เขียนวิจารณ์หรือใช้ข้อมูลจากหนังสือของเขาด้วย

ในเดือนมีนาคม 2535 หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย มีโตรฮินนำตัวอย่างเอกสารที่รวบรวมไว้ขึ้นรถไฟข้ามคืนออกจากเขตแดนรัสเซียปัจจุบัน มุ่งหน้าสู่ประเทศชายฝั่งทะเลบอลติกแห่งหนึ่ง (เขาไม่ต้องการเปิดเผยว่าเป็นประเทศใด) แล้วติดต่อไปยังสถานทูตสหรัฐฯ แต่ได้รับการต้อนรับแบบเนือยๆขณะที่สถานทูตอังกฤษให้การต้อนรับอบอุ่นกว่า ต่อมาหน่วยข่าวกรองอังกฤษนำตัวมีโตรฮิน พร้อมด้วยครอบครัว และเอกสารทั้งหมดออกจากรัสเซีย ปัจจุบัน เขาเป็นพลเมืองของประเทศอังกฤษ

เอกสารลับมีโตรฮินมีส่วนช่วยอย่างสำคัญในการจับกุมและลงโทษ โรเบิร์ต ลิปคา สายลับโซเวียตที่แฝงตัวทำงานอยู่ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังเปิดโปง เมลิตา นอร์วูด สตรีอังกฤษผู้ส่งมอบความลับทางวิทยาศาสตร์ในสหภาพโซเวียตระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้น ถึงที่สุดแล้ว "เอกสารลับมีโตรฮิน" อาจเปิดเผยรายชื่อสายลับอีกนับพันหากมีการเจาะเนื้อหาลึกกว่านี้

ระหว่างนี้ หนังสือ The Sword and the Shield กล่าวถึงความลับเรื่องหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องหาข้อยุติให้ได้โดยเร็วที่สุด นั่นคือรายงานที่ว่าเคจีบีซุกซ่อนวิทยุสื่อสาร อาวุธ และวัตถุระเบิดไว้ตามที่ต่างๆทั่วยุโรปและสหรัฐฯ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนรัฐบาลสหภาพโซเวียตที่จะก่อวินาศกรรม ทำลายท่อส่งน้ำมัน โรงไฟฟ้า สายไฟฟ้าแรงสูง เขื่อน อ่างเก็บน้ำ และอาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นๆในกรณีเกิดสงคราม ที่ค้นพบแล้วก็คือ สถานที่เก็บซ่อนเครื่องมือวิทยุสื่อสารในประเทศสวิตเซอร์แลนด์และเบลเยียม

ที่สำคัญคือ หน่วยงานเอสวีอาร์ ซึ่งเข้ามาแทนที่หน่วยเคจีบียังคงทำจารกรรมต่อต้านสหรัฐฯอย่างแข็งขันต่อเนื่อง เมื่อนักการทูตชาวรัสเซียผู้หนึ่งในกรุงวอชิงตันได้ถูกขับออกนอกประเทศ หลังถูกข้อหาจารกรรม โดยมีคนแอบนำอุปกรณ์ดักฟังไปติดตั้งไว้ในห้องประชุมของกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และเอฟบีไอรายงานว่านักการทูตคนดังกล่าว ถูกจับกุมขณะนั่งฟังการประชุมอยู่ในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ใกล้กับตัวอาคาร

ขณะเดียวกัน มีโตรฮินเองต้องใช้ชื่อปลอมและกบดานในบ้านลับ ซึ่งมีการจัดเวรยามคุ้มครองความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในประเทศอังกฤษ และสารภาพว่ากลัวมือสังหารจากเอสวีอาร์จะมาไล่ล่าแก้แค้น มีโตรฮินกล่าว "พวกเขายังเป็นคนกลุ่มเดิม หน่วยงานเดิม และยึดวัตถุประสงค์เดิม ผู้นำทุกคนของหน่วยงานใหม่เป็นลูกหม้อเคจีบีและเป็นอาชญากรเหมือนกันหมด"

ทะเลาะอย่างสร้างสรรค์

ทะเลาะ
อย่างสร้างสรรค์

เถียงกันดีๆอาจช่วยให้รักยืนยาว
นักจิตวิทยากล่าวไว้นานแล้วว่า เราอาจทำนายว่าคู่สมรสใดจะอยู่ครองรักกันอย่างมีความสุขโดยดูจากวิธีที่ทั้งสองทะเลาะกัน มีคนบอกฉันว่าเวลาเถียง ฉันชอบร้อนตัวรีบตั้งป้อมโดยไม่ฟังเสียง นอกจากนั้นฉันยังเป็นคนชอบเหน็บแนม ปึงปังเกินเหตุ และเจ้าน้ำตา ฉันไม่ปฏิเสธ (แต่ถ้ากล่าวหาอย่างนี้ตอนกำลังทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง เชื่อได้เลยว่าเถียงสุดฤทธิ์)

แฟนเก่าเคยพยายามดัดนิสัยฉันโดยขอร้องให้เป็นผู้ฟังที่ดีซึ่งอ้างว่าเป็นเทคนิคการบำบัดและเป็นหลักการที่นักจิตวิทยาครอบครัวสมัยใหม่นิยมใช้ เชื่อกันว่าเทคนิคนี้จะทำให้เราเถียงด้วยใจเป็นธรรมและลดการเอาชนะคะคาน แต่ฉันอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่แล้ว แฟนหนุ่มเถียงว่าไม่จริง เพราะฉันชอบถอนใจเสียงดัง ทำจมูกบาน เดินวนไปวนมา และปึงปังออกจากห้อง การฟังอย่างมีประสิทธิภาพหมายถึงตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดประหนึ่งว่าจะมีการทดสอบและเมื่อต้องเป็นฝ่ายตอบ เราควรเรียบเรียงคำพูดใหม่ว่า

"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ..."
ฉันพร้อมจะลองดู เขาจึงเริ่มพูดจนเวลาผ่านไปหลายนาที เคราะห์ดีที่เราพูดกันทางโทรศัพท์ ฉันเลยมีเวลาจดใส่กระดาษ เขานิ่งไปครู่หนึ่งหลังพูดจบ
"ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ" ฉันเอ่ย "คุณคิดว่าฉันชอบร้อนตัวแล้วเถียงข้างๆคูๆ ทำเหมือนคุณไม่มีความสำคัญ ก็เลยทำให้คุณรู้สึกป้อแป้ใช่ไหม"
"ท้อแท้"
"อ๋อ ใช่ๆ"
"ขี้โกงนี่" เขาว่า "คุณเล่นจดเอาไว้"
"เปล่านะ"
แต่แล้วความสัมพันธ์ของเราก็จบลงโดยไม่มีใครช่วยได้


แต่กับเอ็ดแฟนใหม่ ฉันจะไม่ยอมให้อะไรผิดพลาดอีก จึงไปขอคำแนะนำจากเพื่อนที่เรียนจบด้านจิตวิทยา เพื่อนแนะให้ขึ้นต้นประโยคด้วย "ฉัน" เพราะประโยคที่ขึ้นด้วย "คุณ" เป็นการต่อว่าทำให้คนฟังตั้งป้อมเถียงจนไม่มีใครฟังใคร เช่น เราไม่ควรพูดกับคนรักว่า "คุณไม่เคยล้างจานเลย เห็นแก่ตัวจัง" แต่ควรพูดว่า "ฉันรู้สึกโกรธและไม่ยุติธรรมเลยเวลาคนที่ฉันรักทิ้งจานไว้ให้ล้างทั้งที่เขาเป็นคนใช้จานนั่น แถมยังกินอาหารที่เหลือจนเกลี้ยงตู้แม้จะรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจจะเก็บไว้กินตอนกลางวัน" อีกเทคนิคที่เพื่อนแนะคือ "การคล้อยตาม" โดยพยายามเห็นพ้องกับอีกฝ่าย "ผมพอเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณจึงหัวเสียที่ผมไม่ล้างจานเล็กๆแค่ใบเดียว แถมกินพิซซ่าชิ้นสุดท้าย ถ้าผมคิดเล็กคิดน้อยอย่างคุณก็คงโกรธเหมือนกัน"

ม่นานมานี้ฉันงัดเทคนิคดังกล่าวข้างต้นมาใช้ ขณะขับรถอยู่โดยมีเอ็ดนั่งอยู่ข้างๆ ฉันไม่ทันเห็นสัญญาณให้หยุด ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ขับรถอาจเผลอได้ จริงไหม แต่เอ็ดเห็นป้ายสัญญาณ เลยทำท่าเหยียบเบรกเต็มแรงเป็นการบอกให้ฉันรู้ "ฉันรู้สึกเหมือนถูกตำหนิทุกครั้งที่คุณพร่ำบ่นเวลาฉันขับรถ" ฉันเริ่ม "แล้วใครกันล่ะที่เคยทำให้เราเกือบตายเพราะเลี้ยวใส่รถที่พุ่งมาหน้าห้างเมื่อวันก่อน"

"ต่อว่าผมตรงๆว่าเป็นคนโดยสารที่จุ้นจ้านไม่เข้าท่าดีกว่าน่า" เอ็ดติง

ค่ำนั้น ฉันพยายามบอกเอ็ดว่าฉันเรียนรู้ไม่น้อยจากการเป็นผู้ฟังที่ดีและคล้อยตามอีกฝ่าย เอ็ดตั้งใจฟัง จับมือฉันไปกุมไว้แล้วบอกว่า "เวลาคุณพูดถึงเรื่องอย่างนี้ ผมรู้สึกเหมือน...จะว่ายังไงดีล่ะ  รู้สึกเหมือนอยากอาเจียนจริงๆนะ"

จากนั้นไม่นาน เอ็ดนำข้อความที่ตัดจากหนังสือพิมพ์มาวางไว้ให้ที่โต๊ะ ข้อความกล่าวถึงการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งติดตามบันทึกเทปวิดีโอคู่แต่งงานใหม่ 130 คู่ขณะโต้เถียงกันเป็นเวลาหกปี ผลปรากฏว่าคู่ที่ยังอยู่ด้วยกันแทบไม่เคยใช้เทคนิคการฟังอย่างมีประสิทธิภาพและคล้อยตามความรู้สึกของกันเลย นักวิจัยรู้สึก "ช็อก" เพื่อพบว่าคู่ที่มีความสุขต่างทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนคนทั่วไป มีอารมณ์โกรธ ทำความเข้าใจ แล้วคืนดีกัน

เพียงรู้ว่าไม่ต้องขึ้นต้นคำพูดด้วยประโยคว่า "ข้อใหญ่ใจความที่คุณพูดก็คือ" ก็รู้สึกดีใจจนบอกกับตัวเองทันทีเลยว่า คราวหน้าถ้าเอ็ดโกรธขึ้นมา ฉันจะไม่ตั้งป้อมเถียงเขาหัวชนฝาอีก

แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นตอนบ่ายวันเสาร์ ฉันเอาลำโพงเครื่องเล่นสเตอริโอรุ่นปี 1970 ไปทิ้ง แต่เอ็ดอยากเก็บไว้เพราะคิดว่าอีกสิบปีข้างหน้าอาจใช้ประโยชน์ได้ ฉันต่อว่าเขาเป็นการใหญ่ที่ไปรี้อขยะเพื่อตรวจดูว่าฉันเอาอะไรไปทิ้งบ้าง "นี่คุณกำลังจับผิดฉันนะ"

เอ็ดหน้าตาตื่น "คุณเอาของผมไปทิ้งโดยไม่บอกสักคำ"
 
ะฆังดังหมดยก เราต่างถอยเข้ามุมของตัวเอง พอถึงเวลาอาหารค่ำ ฉันก็โผล่เข้าไปในครัวพร้อมด้วยลำโพงที่เช็ดสะอาดเอี่ยม ส่วนเอ็ดสัญญาว่าจะไม่เข้ามาวุ่นวายเวลาฉันทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เขาขอให้บอกหากฉันคิดว่าเขากำลังจุ้นจ้านหรือรื้อข้าวของที่ฉันทิ้งไปแล้วขึ้นมาใหม่ "ผมไม่รู้ตัวเลย ช่วยบอกด้วยก็แล้วกัน" เขายิ้มหวาน "ผมจะได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักหน่อย"

คำขอโทษ

ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากคุณพร้อมจะกล่าว...
คำขอโทษ
คยไหมที่คุณนึกอยากขอโทษใครสักคนแต่กลับพบว่าคำง่ายๆสั้นๆนี้กลายเป็นคำที่เอ่ยยากที่สุด หลายคนยอมรับว่าไม่ชิน จึงรู้สึกขัดเขินที่จะพูด และไม่ต้องประหลาดใจถ้าคุณได้รู้ว่าคนบางคนไม่เคยกล่าวคำขอโทษเลยตลอดชีวิต


เราต่างมีประสบการณ์การต่อสู้ทางความรู้สึกอันกระอักกระอ่วนนี้บ่อยครั้ง คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าเพราะอะไร สำหรับผมเมื่อทบทวนดูแล้วก็พบว่ามันมาหยุดที่คำสั้นๆอีกคำหนึ่ง นั่นคือคำว่า "ทิฐิ"
ไม่น่าเชื่อว่าคำง่ายๆสั้นๆนี้จะมีพลังมากพอที่จะทำให้เราเอ่ยคำขอโทษกันไม่เป็น

"คุณมีทิฐิเพราะคุณไม่รู้ คุณไม่เข้าใจ พวกคุณจึงขอโทษไม่เป็น" ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยเอ่ยประโยคนี้ ผมจดจำไว้และนำมาทบทวนอีกครั้ง

นั่นเป็นเพราะเราคิดว่าคำขอโทษทำให้เรารู้สึกโง่เขลาและไม่น่าเชื่อถือ พวกเราจึงเก็บคำขอโทษไว้ในส่วนลึกที่สุด และจะไม่ปล่อยให้หลุดร่วงหรือเล็ดลอดออกมาเป็นอันขาด

ทิฐิเป็นเหมือนป้อมปราการชั้นดี ที่จะคอยช่วยปกปิดไม่ให้เราปล่อยสิ่งที่เราคิดว่าอ่อนแอ แล้วเราต่างก็ทำราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรผิด

เด็กๆมักเป็นเช่นนี้และผมก็เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อโตขึ้น ผมรู้สึกว่าความผิดที่ปกปิดตัวเองไม่ได้และไม่ได้เอ่ยคำขอโทษออกมากลับทำให้รู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก มันคอยติดตามและทรมานผมเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาเสียตั้งแต่แรก ความรู้สึกคงเป็นอิสระกว่านี้

นสังคมที่แข่งกันรวย แข่งกันใหญ่และแล้งน้ำใจเช่นนี้ มีเรื่องที่ทำให้ผู้คนโกรธเคืองกันมากมาย ไม่ว่าจะมองไปยังระดับไหน ไม่ว่าจะมองต่างมุม หรือแม้แต่มองไปในมุมเดียวกัน ก็ยังคงมีแต่เรื่องความไม่เข้าใจกันอยู่ดี ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยความโกรธ ความขุ่นเคือง และความไม่สบอารมณ์ต่างๆนานา ความรู้สึกนี้ทำให้ต่างคนต่างอยากเอาชนะ

ไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองผิดหรือต่างคนต่างผิด ดังนั้น จึงไม่มีคำขอโทษ "คนเราผิดได้ ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องเสียหายใหญ่โตแต่อย่างใด ขอให้เราเพียงแต่รู้ตัวแล้วแก้ไข และรู้จักกล่าวคำขอโทษเท่านั้น ชีวิตก็จะเป็นสุข" ผู้ใหญ่ที่น่านับถือท่านนั้นกล่าว "ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนเราไม่รู้จักคำขอโทษ"

ผมนำความคิดของผู้ใหญ่ท่านนี้มาทบทวนอีกครั้งเมื่อจุ๊บหลานสาวแวะมาหาที่บ้านตอนบ่ายวันหนึ่ง ในบรรยาศที่สบายๆเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ก่อนลากลับ เธอถามว่า

"น้ามีการ์ด I'm Sorry เหลืออยู่อีกมั้ยคะ"
"ทำไมล่ะ ชุดที่ให้ไปก็มีตั้งสองใบไม่ใช่หรือ" ผมนึกถึงการ์ดโหลหนึ่งที่ให้ไปเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เป็นการ์ดทันสมัยมีสีสันสดใส มีข้อความภาษาอังกฤษ เช่น I Miss You, Thank You, You're a Great Friend และ I'm Sorry
"หนูใช้หมดแล้วทั้งสองใบและอยากได้อีก" จุ๊บตอบยิ้มๆ
"หนูผิดบ่อยหรือ ถึงต้องขอโทษบ่อยจัง" ผมถามด้วยความขบขัน
"หนูอดไม่ได้ค่ะ มีเรื่องที่ต้องโกรธอีก" เธอบอก
"คราวนี้หนูโกรธกับเพื่อน เขาไม่ผิดก็เลยไม่โทรฯมาหาหนู"
"ถ้างั้นหนูก็เอ่ยปากขอโทษเขาเองสิ" ผมออกความคิดเห็น
"ไม่เอาหรอก หนูพูดไม่เป็น หนูว่าส่งการ์ดให้ดีกว่า อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าหนูขอโทษแล้ว" จุ๊บยืนยันความคิด
"เปลืองนะ ยิ่งหนูโกรธบ่อยๆด้วย" ผมแหย่ด้วยความเข้าใจ

ผมไม่มีการ์ด I'm Sorry เหลืออีก แต่บอกชื่อร้านให้เธอไปหาซื้อเอง

ถึงแม้หลานสาวจะกลับไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังครุ่นคิดเรื่องการ์ด I'm Sorry ที่เธอต้องการอยู่ และนึกดีใจที่เธอรู้จักคำขอโทษ ถึงแม้จะขอโทษบ่อยไปหน่อยจนมองดูเหมือนเรื่องเล่นๆ

แล้วเราล่ะ คนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรียนรู้อะไรจากคำขอโทษ

เราเรียนรู้บ้างไหมว่า คำสั้นๆง่ายๆนี้สามารถใช้ตรวจสอบความรู้สึกนึกคิดของเราได้ เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูงหรือสังคมในที่ทำงาน เราพบว่าเราอาจเอ่ยคำขอโทษได้ง่ายกว่า เพื่อให้เรื่องราวสงบหรือสถานการณ์คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น

แต่เมื่ออยู่ที่บ้านและอยู่กับคนใกล้ชิด เรากลับพบว่าเราพูดคำขอโทษกันยากเหลือเกิน ถึงแม้จะอยากพูด

"พี่ขอโทษลูกบ่อยไป" เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเล่า ผมฟังด้วยความยินดี สิ่งที่เห็นคือ ครอบครัวนี้แม่และลูกไม่มีเรื่องขุ่นเคืองต่อกัน และสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างเปิดเผย

อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคำขอโทษดีไปเสียทั้งหมด เพราะยังมีอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าศึกษา ยังมีคำขอโทษอีกแบบที่ใช้กันพร่ำเพรื่อไม่จริงใจ ซึ่งหลุดออกมาจากปากผู้พูดง่ายดาย เหมือนคำพูดเพราะๆที่หล่นออกมาจากปากนักการเมืองจำนวนมาก

คำขอโทษแบบนี้เป็นคำขอโทษแบบขอไปที เป็นคำขอโทษที่ผู้พูดไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดจริง หรือเป็นคำขอโทษที่มีจุดหมายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่

ผมนึกย้อนไปยังเรื่องราวในหนหลังและดีใจที่พบว่าตัวเองขอโทษเป็นมานานแล้ว และได้ขอโทษผู้คนมาแล้วไม่น้อย แต่ยังคงมีคนอีกหนึ่งหรือสองคนที่ผมอยากขอโทษเป็นที่สุดถ้ามีโอกาส

แต่ก็ยังมีคนบางคนที่อย่างไรๆตอนนี้ผมก็ยังไม่นึกอยากจะขอโทษถึงแม้จะน่าขอโทษ อาจเป็นเพราะความรู้สึกยังก้ำกึ่งกันอยู่

ชีวิตของคนเรานั้น เราต่างเป็นฝ่ายที่ต้องกล่าวคำขอโทษและเป็นฝ่ายรับคำขอโทษ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความจริงใจที่จะขอโทษและความเต็มใจที่จะยกโทษให้ เป็นสิ่งที่เราน่าจะทำมากที่สุด

เพราะเชื่อเช่นนี้ ผมอาจต้องใช้เวลาบ้างเพื่อให้คำขอโทษนั้นเป็นไปด้วยความจริงใจอย่างที่สุดสำหรับบางคน
"ขอโทษ..ที่ผมไม่ใช่คนขอโทษพร่ำเพรื่อ"

ผู้ค้นพบโลกใหม่

เจฟฟรี มาร์ซี
ผู้ค้นพบโลกใหม่
วงการดาราศาสตร์
กำลังทึ่งผลงานของชายซึ่งเคยเป็นที่ขบขันของผู้คน

อกนึกภาพว่ามีมนุษย์ต่างดาวบนดาวเคราะห์ดวงที่สามจากดาวฤกษ์ห่างจากโลก 30 ปีแสงซึ่งกำลังเฝ้ามองดวงอาทิตย์ของเราผ่านกล้องดูดาวกำลังสูง คุณคิดว่าเขาจะมองเห็นเราไหม
คำตอบคือไม่มีทาง เขาจะเห็นดวงอาทิตย์เป็นเพียงจุดแสงเล็กๆ ส่วนโลกจะถูกแสงอาทิตย์กลบกลืม


การที่เจฟฟรี มาร์ซี นักดาราศาสตร์จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถตรวจพบดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่นได้จึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่สันนิษฐานว่า โลกเป็นดาวเพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มีสภาวะเหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต แต่ยิ่งมาร์ซีค้นพบดาวเคราะห์มากขึ้น โอกาสที่เราจะพบมนุษย์ต่างดาวก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

นักดาราศาสตร์วัย 45 ผู้นี้ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ค้นพบดาวเคราะห์ "นอกระบบสุริยะ" ซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ที่คล้ายกับดวงอาทิตย์ของเรา แต่ทีมงานของเขายังพบดาวเคราะห์ถึงสองในสามของประมาณ 30 ดวงที่ค้นพบขณะนี้ มาร์ซีหลงใหลในดาวเคราะห์ เขาเป็นตัวอย่างของบุคคลที่บรรลุความใฝ่ฝันและพิสูจน์จนโลกยอมรับ

าร์ซีตกหลุมรักจักรวาลตั้งแต่อายุ 14 ปี เมื่อพ่อแม่ซื้อกล้องดูดาวให้ "เขายกกล้องหายเข้าห้องไปเลย" แม่ของมาร์ซีเล่าว่า "พวกเราไม่เห็นหน้าเจฟฟรี ได้ยินแต่เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีสองเพื่อตื่นมาดูดาวเสาร์หรือดวงดาวอื่นๆ"

มาร์ซีจบปริญญาเอกทางด้านดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย จากนั้นก็ศึกษาต่อเรื่องคุณสมบัติด้านแม่เหล็กของดวงดาว เขาตีพิมพ์บทความเรื่องลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับแต่ก็ยังไม่พอใจ "ผมถามตัวเองว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่จะดึงดูดผมได้แม้ไม่ได้เป็นนักดาราศาสตร์"

มาร์ซีได้คำตอบในเช้าวันหนึ่งขณะอาบน้ำ นั่นคือคำถามที่ว่าสิ่งมีชีวิตอยู่ที่อื่นอีกไหมในจักรวาล ยังมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่เหมือนโลกเราอีกไหม เขาจึงตัดสินใจจะค้นหาดาวเคราะห์

ขณะนั้นเป็นปี 2526 หนึ่งปีหลังจากภาพยนตร์เรื่อง E.T. ออกฉาย สิ่งมีชีวิตนอกระบบสุริยะเป็นสุดยอดความบันเทิง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์มักมองอย่างคลางแคลงใจ

การงานของมาร์ซีก็ไม่ก้าวหน้านัก เขาได้งานที่มหาวิทยาลัยของรัฐแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตซานฟรานซิสโก ซึ่งไม่มีชื่อเสียงด้านดาราศาสตร์เลย และกลายเป็นอาจารย์ที่ถูกเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ดูแคลน

คืนหนึ่งระหว่างอาหารเย็นที่หอสังเกตการณ์ เขาบอกบรรดานักดาราศาสตร์ว่ากำลังค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่นอยู่ มีคนกลั้นหัวเราะจนสำลัก ส่วนคนอื่นๆกลับไปสนทนาเรื่องวิชาการตามแบบแผนกันต่อไป

มาร์ซีไม่ย่อท้อ เพราะการพบดาวเคราะห์ดวงใหม่นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องสร้างเครื่องมือที่มีความละเอียดกว่าเครื่องมือที่มีอยู่อีกเป็นร้อยเท่า

ลองกลับไปดูมนุษย์ต่างดาวบนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไป 30 ปีแสง สมมุติว่าดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์มีเพียงดวงเดียวคือดาวพฤหัส ขณะมนุษย์ต่างดาวมองดวงอาทิตย์นั้น เขาจะไม่เห็นดาวพฤหัส โจทย์ของเขาเหมือนกับของมาร์ซี กล่าวคือ ต้องหาทางพิสูจน์โดยทางอ้อมว่ามีดาวพฤหัสอยู่จริง


แรงดึงดูดมหาศาลของดวงอาทิตย์ดึงให้ดาวพฤหัสโคจรรอบ แต่ดาวพฤหัสก็มีแรงดึงดูดตอบโต้มายังดวงอาทิตย์ด้วย ขณะที่ดาวพฤหัสโคจรไป ดวงอาทิตย์จะถูกดึงไปทางดาวพฤหัสเล็กน้อย มนุษย์ต่างดาวมองไม่เห็นดาวเคราะห์ แต่เขามองเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปเล็กน้อย

นั่นเป็นหลักการพื้นฐานในงานของมาร์ซีเขากับพอล บัตเลอร์ เพื่อนร่วมงาน พัฒนาเทคนิคเพื่อตรวจจับปฏิกิริยาของดาวฤกษ์ต่อดาวเคราะห์ขณะโคจร มาร์ซีเรียกการเคลื่อนที่นี้ว่า "การแกว่ง" (Wobble) และตรวจจับการแกว่งโดยศึกษาแสงจากดาวฤกษ์

สิ่งนี้เรียกว่าปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ (Doppler effect) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงความถี่ของเสียงหรือของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างเช่น เมื่อรถพยาบาลเคลื่อนเข้าหาคุณระดับเสียงหวอจะสูง เมื่อผ่านไปแล้ว ระดับเสียงหวอจะต่ำลง ในตอนแรกคลื่นเสียงถูกบีบตอนหลังจึงถ่างออก คลื่นแสงก็เช่นเดียวกัน

ณะดวงอาทิตย์แกว่งเพราะแรงดึดดูดของดาวพฤหัส คลื่นแสงจะเคลื่อนเข้าหามนุษย์ต่างดาวบ้างและเคลื่อนออกบ้างเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยเครื่องวิเคราะห์แสงที่ละเอียดอย่างของมาร์ซี มนุษย์ต่างดาวจะสามารถจับการแกว่งของแสงจากดวงอาทิตย์ได้และรายงานว่าพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ซึ่งจะทำให้เพื่อนมนุษย์ต่างดาวถึงกับตะลึง

ปลายปี 2538 มาร์ซีกับบัตเลอร์ถูกมิเคล มาร์เยอร์และดิเดรีย เควลอซ นักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสซึ่งใช้เทคนิคเดียวกันประกาศตัดหน้าว่าพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะที่โคจรรอบดาวฤกษ์เป็นดวกแรก แต่มาร์ซีเก็บข้อมูลและพัฒนาเครื่องมือมาหลายปี จึงตีตื้นและแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขากับบัตเลอร์ประกาศว่าพบดาวเคราะห์สองดวงในต้นปี 2539 และได้รับเกียรติให้เป็นผู้พบดาวเคราะห์สองในสามดวงของบัญชีดาวเคราะห์ อีกสี่ปีต่อมาก็ยังไม่มีใครลบสถิติได้

นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ส่วนใหญ่ยอมรับทฤษฎีการแกว่งโดยอิทธิพลของดาวเคราะห์ที่ยังสงสัยก็ไร้ข้อกังขา ปลายปีที่แล้ว เมื่อมาร์ซีพบดาวฤกษ์ที่มีการแกว่งในระดับที่แสดงว่ามีดาวเคราะห์ดวงใหญ่ซึ่งมีวงโคจรพาดผ่านด้านหน้าของดาวฤกษ์ จึงอาจบดบังแสงของดาวฤกษ์ได้ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2542 เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของมาร์ซีตรวจพบว่า ความสว่างของดาวฤกษ์ลดลงไปร้อยละ 1.7 ตรงตามเวลาที่คำนวณไว้


นที่สุด วงการดาราศาสตร์ก็ยกย่องมาร์ซี เมื่อปี 2542 กลางปี มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กเลย์ แต่งตั้งให้เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ และยังจะได้เป็นหัวหน้าศูนย์รวมการศึกษาข้อมูลดาวเคราะห์ที่จะตั้งขึ้นในปีต่อมา ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักเคมี นักชีววิทยา นักธรณีวิทยา และนักดาราศาสตร์ เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกระบบสุริยะ และแน่นอน ไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดยอมรับว่าเคยเยาะเย้ยผลงานของมาร์ซีมาก่อน

แม้จะได้ดิบได้ดี มาร์ซีก็ไม่ได้หลงระเริงแต่ยังหมั่นสังเกตและแก้ไขเทคนิคตลอดจนข้อมูลของตัวเอง อีกทั้งขยันเผยแพร่ความรู้ใหม่ๆหลังประกาศเรื่องดาวเคราะห์บังแสงดาวฤกษ์ เขาต้องรับโทรศัพท์จากนักข่าวตลอดทั้งวัน บางครั้งเขาไม่ได้กินอะไรเลยกระทั่ง 23.00 น.

แต่ไม่เป็นไรหรอก ซูซาน เคกลีย์ ภรรยาของเขาบอก เพราะมาร์ซีมีความสุข "เขายังคงสงสัยใคร่รู้แบบเด็กๆ นิสัยแบบนี้ที่ดลใจให้เขาหนีบกล้องดูดาวปีนขึ้นหลังคา เพราะดาราศาสตร์เป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา" เรามาคอยเฝ้าดูผลงานต่อไปจากการเล่นสนุกของเจฟฟรี มาร์ซีกันเถอะ

พูดโทรศัพท์ให้บรรลุเป้า

ทำไมต้องยิ้มขณะคุยทั้งที่ไม่เห็นหน้า
และจะพูดโน้มน้าวเรื่องยากๆได้อย่างไร
พูดโทรศัพท์ให้บรรลุเป้า

พทรา เชอเทเลถูกใจเสื้อสเวตเทอร์สีแดงที่สั่งซื้อทางแค็ตตาล็อกจากบริษัทขายสินค้าที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ แต่สวมเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผิวหนังก็เริ่มมีผื่นแดงเพราะอาการแพ้ทั้งที่ซักด้วยมือก่อนจะนำมาสวมตามคำแนะนำที่ผู้ผลิตระบุไว้ หลังจากซักครั้งที่สองด้วยเครื่องซักผ้าจึงไม่มีอาการแพ้อีก แต่กระนั้น เพทราก็ตัดสินใจโทรฯไปแจ้งบริษัทผู้ขายเพื่อขอเงินคืน


เพทราเชื่อว่าจะได้เงินตามที่เรียกร้องเพราะรู้เทคนิคในการพูดโทรศัพท์ดี เธอเรียนจบด้านธุรกิจและคอมพิวเตอร์ และทำงานอยู่กับบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนีนาน 13 ปี โดยทำหน้าที่ฝึกสอนผู้จัดการและนักธุรกิจเกี่ยวกับวิธีการต่างๆรวมทั้งหลักเบื้องต้นในการใช้โทรศัพท์ให้บรรลุเป้าหมาย

เตรียมให้พร้อมก่อนยกหูโทรศัพท์
บางครั้งผู้พูดโทรศัพท์ไม่รู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าเรื่องที่ต้องการหยิบยกมาพูดนั้นจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ฉะนั้น ก่อนโทรฯหาฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทฯ เพทราจึงตั้งคำถามสามข้อว่า

ฉันต้องการอะไร

เธอเขียนเป้าหมายของการสนทนาและประเด็นสำคัญที่จะพูดลงในกระดาษก่อน

เวลาใดจึงจะเหมาะที่สุด

คิดให้ดีก่อนยกหูว่าเวลาที่จะโทรฯไปนั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ เช่น การเรียกค่าทดแทนจะได้รับความสนใจน้อยลง หากโทรฯไปใกล้เวลาเลิกงานเนื่องจากเป็นช่วงที่ทุกคนอยากกลับบ้าน

ผู้รับโทรศัพท์จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง

กฎพื้นฐานของการพูดคุยในลักษณะนี้ คือ ต่างฝ่ายต่างควรได้ประโยชน์ ดังนั้นก่อนโทรฯต้องคิดว่าผู้รับโทรศัพท์จะได้ประโยชน์อะไรจากการที่เราโทรฯไป เช่น เมื่อบริษัทฯรู้ว่าเสื้อบางตัวทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ ก็จะสามารถหาทางแก้ไขเพื่อหลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากลูกค้าในอนาคต

เริ่มต้นการสนทนาให้ถูกต้อง
เรามักจะบอกชื่อตัวเองเมื่อเริ่มสนทนา ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะส่วนใหญ่ผู้รับโทรศัพท์ยังไม่พร้อมจะจำข้อมูลนี้ เวลาโทรศัพท์เราต้องรอสัก 2-3 วินาทีก่อนบอกชื่อ "คนส่วนใหญ่มักจำ 2-3 พยางค์แรกไม่ได้ ถ้าฉันแนะนำตัวเองว่า "ดิฉัน เพทราค่ะ อยู่ที่บริษัท(ชื่อ...)" คู่สนทนาจะจำได้แต่ชื่อบริษัท ดังนั้นควรเริ่มการสนทนาด้วย "สวัสดีครับ/ค่ะ ผม/ดิฉัน(ชื่อ)... ครับ/ค่ะ"

ยังมีเทคนิคอื่นๆในการเริ่มสนทนาอีกเช่น

บอกให้รู้ล่วงหน้าก่อน
ผู้ใช้โทรศัพท์ที่มีประสบการณ์จะถามก่อนเสมอว่าผู้รับพอจะมีเวลาคุยด้วยหรือไม่ ด้วยวิธีนี้ผู้รับโทรศัพท์จะไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนถูกรุกไล่ ถ้าเขากำลังยุ่งอยู่ คุณก็อาจนัดเวลาโทรฯใหม่ที่สะดวกกว่า

เอ่ยชื่อคู่สนทนาด้วย
"ทุกคนชอบคำเยินยอและชอบเวลามีคนเรียกชื่อ" เพทรากล่าว เธอใช้กลยุทธ์นี้สร้างบรรยากาศการสนทนาซึ่งช่วยได้มากเช่น เมื่ออยากขัดจังหวะคู่สนทนาที่พูดยืดยาว เธอจะรอจนเขาหยุดเพื่อหายใจ แล้วเอ่ยชื่อคู่สนทนาก่อนที่จะสรุปเรื่องราวที่เขาพูดมาทั้งหมดด้วยสำนวนของเธอเอง

"คุณฮอฟมานคะ ดิฉันเข้าใจถูกต้องใช่ไหมว่า..." แล้วถามคำถามต่อไป

ใช้คำพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
ควรเริ่มสนทนาด้วยประโยคทำนองว่า "คุณเกริกชัย คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้..." ประโยคเช่นนี้อาจไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการโทรฯและเกริกชัยก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการเยินยอ แต่ถ้อยคำแบบนี้ฟังแล้วทำให้อารมณ์ดี การเยินยอควรเป็นไปด้วยความจริงใจ เพราะหากเราเสแสร้ง ผู้ฟังก็จะจับได้เมื่อได้ยินน้ำเสียง

พูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
"คุณจะสื่อให้คู่สนทนาคล้อยตามความเห็นของคุณได้โดยใช้ภาษาท่าทาง" เพทรากล่าว เธอใช้เทคนิคต่อไปนี้

นั่งหรือยืนตัวตรงขณะพูดโทรศัพท์

ยิ่งนั่งหรือยืนหลังตรงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหายใจได้ลึก อากาศที่หายใจเข้าไปในช่องท้องมากจะทำให้เส้นเสียงทำงานได้เต็มที่ เสียงจึงหนักแน่นและฟังดูมั่นอกมั่นใจ

กิริยาระหว่างพูดโทรศัพท์
กิริยาท่วงท่าระหว่างพูดจะช่วยเรียบเรียงความคิดให้เป็นข้อความได้ง่ายขึ้นและเสริมให้มีความมั่นใจในตัวเอง การกิน ดื่ม หรือจุดบุหรี่ในระหว่างพูดเป็นการไม่สุภาพ คู่สนทนาจะได้ยินและคิดว่าผู้โทรฯไม่สนใจจริงจัง

ยิ้มแย้มขณะโทรศัพท์
"เสียงเราจะฟังดูเป็นมิตรมากกว่าถ้ายิ้มไปด้วยขณะพูดโทรศัพท์" เพทราเผย แม้ว่าการยิ้มจะเต็มใจหรือไม่เพียงใด เสียงก็จะฟังดูเป็นมิตรไม่แตกต่างกันเลย

คำพูดเด็ด
เพทราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าควรใช้คำพูดเด็ดซึ่งเป็นข้อความสั้นๆแต่เก็บใจความได้ดี หรือที่เรียกว่า "ใจความหลัก" เช่น
"คุณมูเลอร์คะ ดิฉันมีปัญหาอยากให้คุณช่วย" บทสนทนานี้เริ่มด้วยประโยคซึ่งมีใจความหลักสองจุดคือ
"ดิฉันมีปัญหา..." (เสื้อตัวใหม่ทำให้เป็นผื่นคัน)
"อยากให้ช่วย..." (อยากได้ค่าชดเชยที่เกิดอาการแพ้)
หากคู่สนทนาพยายามปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ประโยคต่อไปอาจช่วยได้
"จะทำอย่างไรดีเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก"
ประโยคเหล่านี้ไม่ได้แสดงว่าคุณต้องการโต้เถียงกับคู่สนทนาแต่ "อยากให้มาช่วยกันแก้ปัญหา"

ทำให้การสนทนามีชีวิตชีวา
เพื่อในการสนทนามีชีวิตชีวาและเป็นมิตร เพทราแนะให้ใช้ "คำพูดช่วยเสริมการสนทนา"

พูด "นั่นสิ" ตอบรับบ่อยๆ
เพื่อให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณตั้งใจฟังในเรื่องที่เขาพูด เมื่อคุณฟังไปได้สักครู่ ก็ควรตอบว่า "นั่นสิคะ น่าสนใจนะคะ"

สนทนาไปสักพักก็หาข้อสรุป
เทคนิคนี้มีประโยชน์ในการป้องกันการเข้าใจข้อมูลผิดพลาด หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสื่อให้คู่สนทนาเข้าใจว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นสำคัญ

อย่าให้เขาบอกปัดคุณได้
"หลายบริษัทจ้างพนักงานให้มีหน้าที่บอกปัดผู้โทรฯโดยเฉพาะ" ผู้เชี่ยวชาญกล่าว "ฉะนั้นคุณควรยึดมั่นในความตั้งใจที่จะเรียกร้องความเสียหาย แต่เป็นไปด้วยท่าทีที่เป็นมิตรจนกว่าจะได้คุยกับบุคคลที่รับผิดชอบเรื่องนี้"



บทสนทนาสุดท้าย ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
ขณะสนทนากับตัวแทนบริษัทฯ เพทราบอกตนเองแน่วแน่ว่าไม่ต้องการเผชิญหน้า เพียงแต่อยากหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะเชื่อว่าคู่สนทนาจะได้ประโยชน์จากการพูดคุยครั้งนี้ด้วย เธอจึงย้ำถึงผลประโยชน์ที่บริษัทฯจะได้รับหากแก้ปัญหานี้ "ดิฉันจะเป็นลูกค้าของบริษัทฯต่อไป" ผลก็คือตัวแทนบริษัทฯยืนยันกับเธอว่าจะแจ้งปัญหานี้กับแผนกที่รับผิดชอบ คำตอบนี้ไม่ตรงกับเป้าหมายหลักของเธอ แต่เป็น "วิธีการบอกปัดลูกค้าที่มักใช้กันทั่วไป" เพทรายังคงพยายามจะจบการสนทนาด้วยคำพูดที่ดี

สรุปผล
"ฉันคงจะได้รับคำตอบจากคุณในไม่ช้านะคะ" เพทรากล่าวและยืนยันจะต้องได้คำตอบ

กล่าว "ขอบคุณ" ในตอนท้าย
เพทราจบการสนทนาด้วยคำพูดว่า "คุณมูเลอร์ ขอบคุณนะคะที่สละเวลามาช่วยดิฉัน"



หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เธอก็ยังไม่ได้รับข่าวจากบริษัทฯ จึงเขียนจดหมายถึงฝ่ายบริหาร โดยเล่าย่อๆถึงเรื่องที่สนทนากับมูเลอร์ และย้ำให้บริษัทจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย

ปรากฏว่าได้ผล หลังจากนั้น 2-3 วันเธอได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบริหารของบริษัทฯแจ้งมาว่าสนใจเรื่องที่เธอร้องเรียน ยิ่งกว่านั้นบริษัทฯยังจัดส่งเสื้อแบบเดียวกันแต่เป็นสีฟ้ามาให้เป็นอภินันทนาการ ตอนนี้เพทราก็ยังชอบสวมเสื้อทั้งสองตัวนี้อยู่

บำบัด สไตล์ร็อก Eric Clapton

เอริก แคล็ปตัน Eric Clapton นักกีต้าร์ระดับโลก
ซึ่งกลับใจหลังติดเหล้ามานาน หวังอย่างยิ่งที่จะช่วย
ผู้เสพติดคนอื่นๆ

บำบัด
ล์ร็อก
ครื่องปรับอากาศพ่นลมเย็นแรงสุดขณะที่คนดีมีชื่อเสียงนับร้อยนั่งสบายในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อหาทุนการกุศลที่ศูนย์วัฒนธรรมของอันติกัว ก่อนเสิร์ฟอาหาร เซอร์วิเวียน ริชาร์ด ลูกหลานคนหนึ่งซึ่งสร้างชื่อเสียงใหแก่เกาะในทะเลแคริเบียนแห่งนี้ ลุกขึ้นกล่าวสุนทรพจน์


ขณะเดียวกันที่ภายนอกบริเวณงานอากาศร้อนอบอ้าว ชีวิตอีกด้านของเกาะอันติกัวยังคงดำเนินไปตามปกติ ผู้ติดยาที่ชุมชนแออัดเกรย์ฟาร์มไม่เคยสนใจอาคารศูนย์วัฒนธรรมตระหง่านสีขาวที่อยู่ติดกัน แต่ใจจดจ่ออยู่แค่การวิ่งหาเงินสิบเหรียญมาซื้อโคเคนสูตรแรงพิเศษก้อนต่อไป

ตรงข้ามท่าเทียบเรือสำราญซึ่งมาส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งแวะเที่ยวชมเกาะราวสองสามชั่วโมง ชายสามสี่คนจากบาร์กำลังอาเจียนลงท่อระบายน้ำ แถบนี้มีลมพายุพัดผ่านเป็นประจำ แต่ยังไม่แรงพอจะทำให้กลิ่นอายของแอลกอฮอล์ผสมกลิ่นผักและผลไม้เน่าจางหายได้

จะว่าไปแล้ว คนติดโคเคนและขี้เมากับแขกเหรื่อในศูนย์วัฒนธรรมค่ำวันนั้น ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันได้ แต่สุนทรพจน์ของเซอร์วิเวียนกล่าวถึงความจำเป็นต้องใช้เงินบริจาคเพื่อสร้างบ้านพักชั่วคราวให้ผู้ติดยาและเหล้าที่เข้ารับการบำบัดฟื้นฟูกล่าวกันว่า ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการนี้เป็นนักกีต้าร์เพลงร็อกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน


เดือนตุลาคม 2541 เอริก แคล็ปตัน นักดนตรีวัย 54 ผู้สร้างผลงานโด่งดังมากมายตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทำพิธีเปิดคลีนิกผู้ติดยา "ครอสโรดส์" (CrossRoads) ซึ่งตั้งชื่อตามเพลงของโรเบิร์ต จอห์นสัน นักร้องเพลงบลูส์ที่เขาชื่นชอบ แคล็ปตันเคยติดยามาก่อนและวันนี้ต้องการช่วยบำบัดผู้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังและติดยาเสพติด โดยทุ่มเงิน 8 ล้านปอนด์หรือราว 480 ล้านบาทสร้างคลินิกบำบัดขึ้น

แคล็ปตันเปิดคลินิกบนเกาะอันติกัวที่เขาพักอาศัยอยู่ทุกวันนี้เพื่อตอบแทนชาวบ้าน ซึ่งเคยให้ที่พักพิงแก่เขาเมื่อเผชิญมรสุมชีวิตอย่างหนักหลายครั้ง

อันติกัวเป็นเกาะเล็กๆ มีประชากรเพียง 66,000 คน และว่ากันว่ามีชายหาดครบ 365 แห่งให้ไปได้ไม่ซ้ำตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นภาพมายาสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเยือนแดนสวรรค์แห่งนี้ "เมื่อก่อน ผมมาเพื่อดื่มและเสพยาแบบหัวราน้ำ" แคล็ปตันเล่า "ที่นี่เหมือนสวรรค์ หาซื้อยาที่ต้องการได้ทุกชนิด และทุกหนึ่งในสองคนบนเกาะจะติดเหล้างอมแงม"

แคล็ปตันสารภาพว่าเริ่มเสพยาสมัยเป็นนักศึกษาศิลปะ ในปี 2512 เขาดื่มวอดก้าวันละสองขวด ปี 2517 ติดเฮโรอินอย่างหนัก โรคพิษสุราเรื้อรังและการติดยามีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแพตที บอยด์ ภรรยารวมทั้งสมาชิกในครอบครัว หุ้นส่วนทางธุรกิจ และดนตรี ชีวิตแต่งงานลุ่มๆ ดอนๆ พังครืนหลังเก้าปี

"เวลากลับจากผับ บางครั้งผมจะอารมณ์ดี แต่บางทีก็ทุบทำลายข้าวของ" แคล็ปตันเล่า "ผมไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย"

การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรมอย่างหนัก รอยยิ้มขมขื่นปรากฎบนใบหน้า เมื่อเขานึกย้อนกลับไปปี 2522 อันเป็นช่วงที่เกือบเสียชีวิตเพราะพิษยาเสพติด "ตอนนั้นผมอยู่อเมริกาและต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาแผลในกระเพาะ ซึ่งมีแผลหนึ่งแตกและตกเลือด ใครๆคิดว่าผมคงจะตายในรถพยาบาล ส่วนผมคิดว่า จะออกจากรถไปหาเหล้าดื่มได้ยังไง"

"หลังดื่มเสร็จ ผมจะถือขวดวอดก้า เครื่องเล่นเทป กีต้าร์และปืนลูกซองไปที่เตียง ทั้งหมดเป็นของเล่นก่อนเข้านอน ผมชอบใส่ลูกปืนขึ้นลำกล้อง แล้วอมปากกระบอกปืนไว้ในลักษณะที่สามารถยิงสมองตัวเองกระจายได้ทันที จากนั้นผมก็จะคิดว่า ถ้าฆ่าตัวตาย เราก็หมดโอกาสดื่มอีกต่อไป เดี๋ยวนี้ผมเรียกวิธีคิดแบบนั้นว่าเสียสติ"

เรานั่งคุยกันตรงมุมเงียบในคลินิกซึ่งมองออกไปเห็นอ่าว บริเวณนี้โขดหินระเกะระกะ ไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวซึ่งต้องการพักผ่อนแถบชายหาด ความสงบเงียบชวนให้เคลิบเคลิ้มขณะที่แคล็ปตันใช้ความคิด

"โรคพิษสุราเรื้อรังนั้นจะมองว่าเป็นชนักติดหลังหรือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับผมก็ได้ แต่ผมเห็นว่าเป็นของขวัญเพราะไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองผิดปกติจนกระทั่งเลิกเหล้า ระหว่างนั้นผมคิดว่าตัวเองเป็นบ้าเป็นคนเลวมากๆ ตอนที่หมอบอกว่าผมป่วย ผมนึกในใจว่า ไม่เป็นไร อาการเราไม่หนักไปกว่าคนที่เป็นมะเร็งหรือเบาหวานหรอก แถมยังโชคดีตรงที่สามารถรักษาตัวได้"

แคล็ปตันคิดจะหันหลังให้เกาะอันติกัวหลังจากรู้ว่าดื่มเหล้าและเสพยาไม่ได้อีกแล้ว "ผมคิดว่าคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ หากอยู่รักษาตัวที่นี่ ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มมองเห็นปัญหาของผู้ติดยาคนอื่นๆ"
อาชญากรรมร้อยละ 70 บนเกาะอันติกัวมีสาเหตุมาจากการเมาสุราและยาเสพติด แต่รัฐบาลมีงบประมาณด้านการบริการสังคมน้อย และไม่เห็นความสำคัญของการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยามากนัก ตามวิธีที่ปฏิบัติกันมา คนเมาเหล้าแล้วก่อความวุ่นวายจะถูกกักไว้ในโรงพยาบาลราว 2-3 สัปดาห์เพื่อให้หมดเชื้อ แต่แคล็ปตันเชื่อว่ายังมีวิธีอื่น

 อนที่แคล็ปตันเริ่มมองหาวิธีบำบัดการดื่มจัดในปี 2525 เขาเดินทางไปยังคลินิกแห่งหนึ่งในรัฐมินนิโซตาซึ่งเป็นศูนย์ฟื้นฟูชั้นนำของโลกในขณะนั้น แต่ก็หวนกลับไปดื่มอีกในเวลาต่อมา ก่อนจะเลิกเด็ดขาดในปี 2530
เมื่อย้อนกลับไปที่คลินิกอีกครั้ง ผมรู้เลยว่าต้องตายแน่ ถ้าไม่ยอมศิโรราบให้วิธีเลิกดื่ม 12 ขั้นตอน และสิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจก็คือการเป็นนักดนตรีก็ช่วยชีวิตไม่ได้ อันที่จริงอาจทำลายชีวิตผมด้วยซ้ำ เพราะถ้าคิดว่าจำเป็นต้องดื่มเหล้าจึงจะเขียนเพลงได้ การเป็นนักดนตรีก็ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลย

"สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตผมคือต้องเลิกเหล้าและมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ หากทำเช่นนั้น ผมก็จะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นและจะช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย"

นี่เป็นบทบาทที่แคล็ปตันเริ่มต้นราวหกปีก่อนที่โรงพยาบาลทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน ซึ่งเข้ารับการบำบัดช่วงสามปีต่อมาเขาเริ่มแวะเวียนไปโรงพยาบาลแห่งนี้ทุกวัน และพูดคุยกับคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่กล้าเข้าร่วมการบำบัดแบบเป็นกลุ่ม

"งานนี้เหมือนการแสดงบนเวทีตรงที่ ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งโต้ตอบทันควันและทุ่มเทเต็มที่โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่ม" แคล็ปตันบอก "ผู้มาใหม่ต้องยอมรับว่าเคยทำผิดมหันต์หรือไม่ชีวิตก็พังพินาศไปแล้ว"

ทั้งแคล็ปตันและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลพยายามชั่งน้ำหนักว่า ความเป็นคนดังของเขาจะทำให้ผู้รับการบำบัดรู้สึกอึดอัดใจหรือไม่

เราจะพิจารณาเป็นรายๆไป คนที่อึดอัดหรือเสียสมาธิก็มี แต่บางครั้งก็ช่วยให้คนเข้าใจปัญหาดีขึ้น เพราะผมสามารถพูดได้ว่า "คุณรู้ไหม ผมมีเงินทองมากมาย อาชีพการงานดีเยี่ยม และมีเพลงติดอันดับเยอะแยะ แต่ก็ยังอยากฆ่าตัวตาย" สีหน้าของพวกเขาบอกผมว่า ถ้อยคำเช่นนี้ช่วยให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น

ปี 2534 โคเนอร์ ลูกชายวัยสี่ขวบของแคล็ปตันพลัดตกจากหน้าต่างตึกระฟ้าเสียชีวิตในนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจมากที่สุดในชีวิต แต่ก็ช่วยให้ความรู้สึกผูกพันกับเกาะอันติกัวแนบแน่นลึกซึ้งขึ้น

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงดื่มให้เมาแล้วโยนความผิดให้สังคม โชคดีมากที่ตอนนั้นผมเลิกเหล้ามาสามปีแล้ว และรู้วิธีประคองตัวให้ผ่านช่วงวิกฤตมาได้โดยไม่ทำอะไรบ้าๆ"

แคล็ปตันกลับไปเขียนเพลงอีกครั้งที่เกาะอันติกัว "การเขียนเพลงติดๆกันหลายเพลง ช่วยให้ผมเอาชีวิตรอดมาได้และเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัด" แคล็ปกล่าวว่า "เพลง Tears in Heaven, My Father's Eyes และ The Circus Left Town ล้วนพูดถึงลูกชายและประสบการณ์ชีวิตครอบครัวของผม"

เมื่อห้าปีก่อน แคล็ปตันกับเจ้าของโรงพยาบาลที่เข้ารักษาตัวในอังกฤษวางแผนจะเปิดคลินิกบำบัดฟื้นฟูหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งที่เกาะอันติกัว แต่ภายหลังเจ้าของกลับขายโรงพยาบาลและปล่อยให้แคล็ปตันเคว้งคว้างไม่รู้จะทำอย่างไร ทั้งที่ทุ่มเงินลงทุนไปแล้วถึงสี่ล้านปอนด์หรือราว 240 ล้านบาท

"ผมต้องตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเดินหน้าต่อไปทั้งที่ไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจหรือจะถอนตัว" แคล็ปตันเล่า "หากถอนตัว ผมก็คงกลับอันติกัวอีกไม่ได้ เพราะสัญญากับชาวบ้านไว้แล้วว่าจะให้ความช่วยเหลือ"
แล้วเขาก็พบกับ แอน แวนซ์ ซึ่งทำงานอยู่กับสมาคมยุโรปเพื่อการบำบัดผู้ติดยาในกรุงลอนดอน เธอมีประสบการณ์สูงในเรื่องการบำบัดผู้ติดยาและเคยเป็นผู้บริหารของคลินิกเบตตีฟอร์ดในรัฐแคลิฟอร์เนีย

แคล็ปตันกับแวนซ์เริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการบริหารคลินิก ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าจะไม่แสวงหากำไรจากผู้ป่วย จะหาทางเปิดคลินิกครอสโรดส์และบริหารองค์กรนี้ให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ พร้อมๆกับช่วยประชาชนของเกาะอันติกัวและประเทศอื่นๆในย่านทะเลแคริบเบียน หากได้คนไข้จากทวีปยุโรปและอเมริกาโดยคิดค่าบำบัดรายละ 9,000 เหรียญต่อเดือน ซึ่งถูกกว่าศูนย์บำบัดระดับเดียวกันกว่าครึ่ง คลีนิกซึ่งจุได้ทั้งหมด 36 เตียงก็คงมีรายได้มากพอที่จะจัดเตียงสำหรับบำบัดชาวพื้นเมืองถึง 12 เตียงโดยไม่คิดค่าบริการ

นับถึงปัจจุบัน มีชาวพื้นเมืองเข้ารับการบำบัดกว่า 25 คน แต่ระหว่างเปิดให้บริการเจ้าหน้าที่ของครอสโรดส์พบว่าจำเป็นต้องมีบ้านพักชั่วคราวตามที่เซอร์วิเวียน ริชาร์ดกล่าวถึงในสุนทรพจน์ข้างต้น เพื่อให้ผู้ผ่านการบำบัดไม่ต้องหวนกลับไปอยู่บ้านที่เคยหัดดื่มเหล้าตั้งแต่เด็ก

"ผมพร้อมจะล่มจมเพราะเรื่องนี้ เพราะทำด้วยใจ" แคล็ปตันบอก "ถ้าเราช่วยให้คนคนหนึ่งเลิกดื่มได้ เงินทุกสตางค์ที่เสียไปก็นับว่าคุ้มค่ายิ่ง เพราะชีวิตคนเป็นสิ่งไม่อาจประเมินค่าได้"

เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แคล็ปตันหาทุนเพิ่มได้ 3 ล้านปอนด์หรือราว 180 ล้านบาทจากการจัดประมูลกีต้าร์ 100 ตัว รวมทั้งกีต้าร์ที่ใช้เล่นเพลงยอดนิยม Layla ซึ่งได้ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 316,879 ปอนด์ หรือราว 19 ล้านบาท


แคล็ปตันยอมรับว่าโครงการนี้อาจทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด แล้วเข้าไม่วิตกบ้างเลยหรือ "แน่นอน แต่ถ้าเอาเงินทั้งหมดไปกินเหล้า ก็จะถังแตกหนักเข้าไปอีก แถมยังทำลายสุขภาพถึงตายด้วย" นักกีต้าร์เพลงร็อกกล่าว "ถ้าเลิกดื่มเหล้าและขาดทุนหมดตัว ผมก็ยังเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้ ผมทำได้แน่หากไม่แตะต้องสิ่งเสพติดอีก"


เมื่อเขินอายมากเกินไป

ใจเต้นมือสั่นหรือ ?
เรามีวิธีช่วย

เมื่อเขินอายมากเกินไป

เป็นเรื่องน่าทึ่งที่วันนี้เกรซ วัย 32 กล้ามานั่งกินอาหารในร้านเหมือนคนทั่วไป สมัยเรียนเธอไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียนเพราะกลัวจะตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อน เธอกลัวหนักขึ้นเรื่อยๆจนอายุ 20 กว่าจะรู้ว่าตนเองมีอาการผิดปกติที่เรียกว่า "กลัวการเข้าสังคม" (Social Phobia) ทุกวันนี้ เกรซรู้สึกดีขึ้นบ้าง หลังจากได้รับการบำบัดรักษา แต่ยังคงต้องปรับตัวอยู่ เธอกล่าวว่า "ฉันคงกลายเป็นคนละคนถ้าไม่ต้องคอยกลัวเรื่องแบบนี้"

นุษย์เรามีความอายเป็นพื้นนิสัยเดิม เมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์บางอย่าง บางคนถึงกับหัวใจเต้นแรง เหงื่อออก ปากแห้ง พูดไม่ออก สมองว้าวุ่น และอยากหนี แม้แต่ประเทศที่ผู้คนกล้าแสดงออกอย่างสหรัฐฯก็ยังพบว่า ความกลัวที่จะต้องเข้าสังคมเป็นอาการผิดปกติด้านจิตใจ ซึ่งพบมากเป็นอันดับ 3 รองจากอาการซึมเศร้าและติดสุรา

บางคนไม่ยอมใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือคุยโทรศัพท์ บ้างก็พูดไม่ออกต่อหน้าเจ้านาย หรือ เพศตรงข้าม คนที่มีอาการรุนแรงมักพยายามหลีกหนีการติดต่อกับบุคคลอื่น

อาการน่าวิตก
ความกลัวในการเข้าสังคมเป็นอาการผิดปกติที่มีมาแต่โบราณกาล แต่เพิ่งจะจัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตเวชเมื่อปี 2523 ในปัจจุบัน นักจิตวิทยาบางคนเป็นห่วงว่าการใช้อินเทอร์เน็ตจะยิ่งทำให้คนที่เขินอายอยู่แล้วเป็นมากขึ้น "หากเขินอายเป็นทุนอยู่บ้างแล้ว อินเทอร์เน็ตก็จะยิ่งทำให้โอกาสได้พบปะพูดคุยกันน้อยลง" ฟิลิป จี ซิมบาร์โด ศาสตราจารย์ ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกล่าว

แม้บางคนจะส่อเค้าตั้งแต่เกิดว่าเป็นคนขี้อายกว่าปกติ แต่ก็อาจเปลี่ยนไปเมื่อโตขึ้น เจอโรม เคแกน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกว่า ทารกเริ่มแสดงอาการเขินอายหรือกล้าเมื่ออายุ 16 สัปดาห์ หากมีเด็กห้าคน หนึ่งในนั้นจะเมินหน้าหนีหรือร้องไห้เมื่อเห็นของแปลกใหม่ ขณะที่อีกสี่คนจะเอื้อมมือไปหาคนแปลกหน้าหรือคว้าของนั้น อย่างไรก็ดี ทารกที่เขินอายอาจชอบเข้าสังคมเมื่อโตขึ้น ส่วนทารกที่กล้าแสดงออกอาจกลายเป็นคนขี้อายและเป็นหนักถึงขั้นไม่กล้าเข้าสังคม

ประสบการณ์ในชีวิตจะหล่อหลอมเราให้กลายเป็นคนขี้อายมากขึ้นหรือน้อยลงตามเวลาที่ผ่านไป นักจิตวิทยาชี้ว่า สมองจะรับรู้ความกลัวโดยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ฝังใจแต่ละอย่าง (สถานที่ เวลา เพลง ฯลฯ) เช่น เมื่อนักเรียนถูกครูดุ ก็จะประหม่า เมื่อเข้าเรียนกับครูคนนั้นในครั้งต่อไป แต่บางครั้ง สมองก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ดีเกินไปจนทำให้นักเรียนกลัวทุกครั้งไม่ว่าจะเข้าเรียนห้องไหนหรือพบครูคนใด

เด็กที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อแก้ "ความกลัวที่อยู่ในใจ" เช่นนี้ มักจะหาทางออกด้วยการนิ่งเงียบ มอยรา รีน นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย บอกว่า เด็กอาจไม่ชวนเพื่อนมาบ้าน ไม่ไปโรงเรียนหรือเลือกคุยกับเพื่อนเพียงบางคน ซึ่งยิ่งจะทำให้เด็กมีปัญหามากขึ้นเพราะไม่ได้เรียนรู้ทักษะในการเข้าสังคม


พ่อแม่ก็มีส่วน
พ่อแม่ที่ชอบตำหนิติเตียนอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนขี้ขลาด แต่พ่อแม่ทีอ่อนโยนก็อาจเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กขี้กลัวได้เหมือนกัน ริชาร์ด เฮมเบิร์ก ผู้อำนวยการคลินิกผู้ป่วยทางจิตแห่งมหาวิทยาลัยเทมเพิล เมืองฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า "หากพ่อแม่ไม่ยอมเข้าสังคมหรือมัวแต่กลัวเกินเหตุว่าเพื่อนบ้านจะคิดยังไง ลูกอาจตีความว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายและมีเรื่องทำให้อับอายขายหน้า" 
ราวครึ่งหนึ่งของคนที่กลัวการเข้าสังคมจะแสดงอาการตั้งแต่อายุ 8 ขวบ และที่เหลือเริ่มมีอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่ บางคนไม่รู้ตัวว่ามีปัญหาจะกระทั่งได้เข้าสังคมใหม่ๆ เช่น มหาวิทยาลัย หรือ ที่ทำงานใหม่ เชื่อกันว่า ผู้หญิงมีปัญหาการเข้าสังคมมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายหาทางแก้ไขมากกว่าและสังคมตีตราว่าผู้ชายไม่ควรเป็นคนขี้อาย

สตีฟ ฟอกซ์ เป็นคนขี้อายมากเมื่อเรียนชั้นมัธยมจนเพื่อนผู้หญิงชอบแกล้งทักเพื่อจะได้เห็นหน้าเขาแดงก่ำ เขาไม่ยอมพูดคุยในชั้นเรียนและเหงื่อชุ่มฝ่ามือทุกครั้งที่เดินผ่านเพื่อน พอสตีฟอายุ 19 พ่อเริ่มวิตกจนต้องปรึกษาแพทย์ ซึ่งให้การรักษาจนหายขาด ขณะนี้สตีฟอายุ 24 เขาไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าฝูงชน 1,700 คน และได้แต่งงานกับเชียร์ลีดเดอร์ซึ่งเคยล้อเขา

ความตื่นตระหนกก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้คนเรากลัวการเข้าสังคม และอาจรู้สึกเช่นนั้นในช่วงนาทีแรกที่ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ จากนั้นก็จะค่อยๆดีขึ้นจนหายไปในไม่ช้า แต่คนที่มีปัญหาอาจจะสั่นอยู่นานเป็นชั่วโมง จนกระทั่งร่างกายเหนื่อยล้าไปเอง นักพฤติกรรมบำบัดมักสอนให้คนประเภทนี้ กล้าเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จนอาการต่างๆหายไปในที่สุด แล้วจะรู้เองว่าไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างทีคิด


พบคนแปลกหน้า

เมลินดา สแตนเลย์ ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชและพฤติกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส รักษาด้วยการพาคนไข้ไปหอประชุมเป็นแห่งแรก เพื่อให้ฝึกพูดสั้นๆต่อหน้าผู้ฟังกลุ่มเล็กๆ "บางคนยืนอยู่นาน แต่ในที่สุดความกลัวว่าผู้ฟังจะมองเขาอย่างไรก็หายไปเอง" สแตนเลย์ กล่าว บางคนใช้วิธีบำบัดด้วยการฝึกคนไข้กับสถานการณ์ที่ทำให้เขินอาย เช่น เดินผ่านคนกลุ่มใหญ่ในห้องโถงโรงแรม
บางครั้งความกลัวเข้าสังคมเกิดจากนิสัยไม่ค่อยชอบพูดคุย นักบำบัดจึงต้องช่วยเพิ่มทักษะการเข้าสังคม เช่น คนที่เขินอายมากๆมักไม่กล้าทักทายผู้คนที่พบปะในสังคมและเป็นคนประเภทถามคำตอบคำ "ผมคิดไว้แล้วว่าจะไม่เดินหนี แม้คู่สนทนาจะทำท่าไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดตั้งแต่ประโยคแรก" ริก รอบบินส์ วัย 32 ซึ่งเคยกลัวการเข้าสังคมจนต้องออกจากมหาวิทยาลัย กล่าว "ทุกวันนี้ก่อนออกจากบ้าน ผมจะเตรียมหัวข้อสนทนาสักสี่ห้าเรื่องไว้พูดคุย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทั่วไป"
 
เบอร์นาโด เจ คาร์ดุซซิ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความเขินอาย มหาวิทยาลัยอินดีแอนา เชื่อว่า การเบนความสนใจออกจากตัวเองเป็นการบำบัดที่ดีสำหรับคนเขินอาย เขาหาทางให้คนไข้เลิกหมกมุ่นกับตนเองด้วยการส่งไปอยู่ในครัว โรงพยาบาล และสถานพักพื้นต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่รอบบินส์เห็นว่าได้ผล เพราะ "ได้เห็นว่าคนอื่นก็ขี้อายพอๆกัน คนไข้จึงไม่รู้สึกว่าแตกต่างไปจากคนอื่น"

ในกรณีที่อาการรุนแรงอาจต้องใช้ยาช่วย แม้ปัจจุบันจะยังไม่มียาที่ได้ผลเต็มร้อย อย่างไรก็ดี ลิน เฮนเดอร์สัน ผู้อำนวยการคลินิกความเขินอายที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เตือนว่า ยามีผลช่วยบำบัดชั่วคราวเท่านั้น และกล่าวว่า "คนไข้มักอาการทรุดลงเมื่อหยุดยา" การวิจัยชี้ว่า ในระยะยาว การบำบัดจะช่วยคนไข้ได้มากกว่า

นักบำบัดส่วนใหญ่กล่าวว่า หากภาวะกลัวการเข้าสังคมไม่หนักถึงกับกลัวไปเสียหมด ก็ยังไม่น่าเป็นห่วงนัก บุคคลโด่งดังในประวัติศาสตร์ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นคนขี้อาย คนที่เขินอายเล็กน้อยน่าจะจัดได้ว่าเป็นคนอ่อนไหว มีนิสัยเห็นอกเห็นใจเข้าใจ และหยั่งรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าอายเลยแม้แต่น้อย

ระดับของความอาย
อายปกติ
ประหม่าเมื่อเริ่มพูด แต่หลังจากนั้นจะดีใจที่ทำได้ แรกๆอาจไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จากนั้นค่อยๆเริ่มพูดได้ ฝ่ามือชุ่มเหงื่อขณะสัมภาษณ์งาน แต่ก็ตอบคำถามได้อย่างดี

อายระดับรุนแรง
หัวใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าคนอื่นกำลังมองอยู่ ตัวสั่นเมื่อต้องพูดในที่ประชุม แม้แค่บอกชื่อตัวเอง หลีกเลี่ยงการสนทนาเพราะกลัวจะพูดอะไรเปิ่นๆ

ภาวะกลัวการเข้าสังคม
ทำทุกอย่างเพื่อเลี่ยงการแนะนำให้รู้จักคนแปลกหน้า กลืนลำบากเมื่ออยู่ในที่สาธารณะจนกินอาหารนอกบ้านไม่ได้ รู้สึกว่าไม่มีทางสร้างความประทับใจ และเชื่อว่าตนเองเข้าสังคมไม่เก่ง

ภาวะกลัวการเข้าสังคมขั้นรุนแรง

เป็นปกติเมื่ออยู่คนเดียว ไม่กล้าออกนอกบ้านไปพบปะคนอื่น กังวลตลอดเวลาว่าคนอื่นจะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า เมื่อเผชิญกับความตกใจกลัว จะหลีกหนีไม่พูดคุยกับคนอื่น

eBay ค้าขายออนไลน์ไม่จำกัด

eBay ค้าขายออนไลน์ไม่จำกัด
ปรากฏการณ์ของอีเบย์ในอินเทอร์เน็ตกำลังสั่นสะเทือนรูปแบบการทำธุรกิจในสหรัฐฯ

ชารอน บัลโควิช เปิดแผงขายของเก่าในเมืองบิสมาร์ก รัฐนอร์ทดาโคตา ร้านเธอค่อนข้างเงียบเหงาเพราะเมืองเล็กๆแห่งนี้มีลูกค้าน้อยและสินค้าก็ขายได้ในราคาต่ำ เธอจึงเริ่มนำสินค้าไปประมูลในเว็บไซต์อีเบย์ ซึ่งเป็นการผันตัวเองเข้าสู่ตลาดระดับโลกทันที ที่เขี่ยบุหรี่แบบอาร์ตเดกโคซึ่งซื้อมาในราคา 20 เหรียญ ราคาประมูลพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว และขายได้ 290 เหรียญ แจกันราคา 5 เหรียญเปลี่ยนมือไปเมื่อมีผู้เสนอซื้อในราคา 585 เหรียญ

กระทั่งรถแทรกเตอร์ที่ใช้แล้ว เธอก็ขายให้พระในนิวยอร์กด้วยราคา 2,499 เหรียญ บัลโควิชได้รับเช็คจากผู้ซื้อทั่วโลก "ก่อนหน้านี้ ฉันขายของได้อย่างมากเดือนละ 15 ชิ้น" เธอกล่าว "แต่เดี๋ยวนี้ สินค้า 15 ชิ้น ขายได้ภายในชั่วโมงเดียว"

อต้อนรับสู่การปฏิวัติของอีเบย์ (eBay) เว็บไซต์การประมูลเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่แรงที่สุด ผู้ร่วมประมูลออนไลน์แข่งขันกันเสนอราคาเพื่อเป็นเจ้าของเตาอบใหม่ และกล้องจุลทรรศน์ใช้แล้ว นอกจากนี้ยังมีการประมูลของเฉพาะกลุ่ม เช่น ของที่ระลึกสำหรับแฟนภาพยนตร์ และมีกระทั่งเว็บไซต์ที่นำรายได้จากการประมูลไปบริจาคเพื่อการกุศล

รายได้จากธุรกิจที่เริ่มมา 15 ปีเป็นที่แน่นอน แต่คาดว่าจะทำเงินถึง 8,500 ล้านเหรียญในปีนี้ และทะยานเป็น 12,000 ล้านเหรียญในปีหน้า โดยอีเบย์เป็นเว็บไซต์ที่มีบทบาทสำคัญในตลาดประมูลออนไลน์ มียอดผู้ลงทะเบียนเข้ามาใช้บริการแล้วประมาณ 20ล้านคน มีการประมูลของไปแล้วกว่า 10ล้านชิ้น และยังท้าทายความเชื่อที่ว่าธุรกิจในอินเทอร์เน็ตต้องขาดทุนเสียก่อน ด้วยการทำกำไรตั้งแต่เดือนแรก ห้าปีต่อมาหลังจากก่อตั้ง อีเบย์มีมูลค่าหุ้นมากกว่าห้างร้านชื่อดังอย่าง เคมาร์ต เจซีเพนนี และนีแมนมาร์คัส รวมกันเสียอีก

ขณะนี้มีผู้พยายามแย่งส่วนแบ่งตลาดประมูลสินค้า เว็บไซต์ของ yahoo และ Amazon ก็เปิดบริการประมูลมาแข่งกับ eBay นอกจากนี้ Microsoft   DELL  และบริษัทอื่นอีกกว่า 100 บริษัทยังต่อเชื่อมเว็บไซต์เข้ากับแฟร์มาร์เก็ตเน็คเวิร์ก (Fair Market Network) ซึ่งเป็นสมาคมการประมูลแห่งใหม่

การประมูลออนไลน์กำลังสั่นสะเทือนรูปแบบการทำธุรกิจในสหรัฐฯ มีหลายคนลาออกจากงานประจำมาขายของในอินเทอร์เน็ต ร้านค้าปลีกเริ่มนิยมใช้การประมูลออนไลน์มาเพิ่มยอดขาย แม้ความเหนือชั้นของอีเบย์จะยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นทำให้พ่อค้าคนกลางตกงาน แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ รูปแบบการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตกำลังไปได้ฉิว

แท่งลูกอมเพซ
เรื่องนี้เริ่มขึ้นจากแท่งใส่ลูกอมยี่ห้อ "เพซ" กับผู้ชายชื่อ ปิแอร์ โอมิดยาร์ เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 2510 และเดินทางไปสหรัฐฯตอนอายุ 6 ขวบ โอมิดยาร์สนใจคอมพิวเตอร์มาก ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จากนั้นจึงเข้าศึกษาคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยทัฟต์ "ผมเป็นเด็กบ้าคอมฯครับ" โอมิดยาร์กล่าว หลังจบชั้นปีที่ 3 เขาย้ายไปฝึกงานแถวซานฟรานซิสโก แล้วไม่ได้กลับไปเรียนต่ออีกเลย

กลางปี 2538 แพม ภรรยาในอนาคตของเขา ซึ่งสะสมแท่งลูกอมเพซ บ่นถึงความลำบากในการหาคนแลกเปลี่ยนของด้วย ในย่านซานฟรานฯ โอมิดยาร์ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซ (เขาร่วมก่อตั้ง อีช็อป ซึ่งไมโครซอฟท์ซื้อไป) ตั้งข้อสังเกตุว่า "สถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ ต่างก็มีข้อมูลลึกๆกันทั้งนั้น" เขาทุ่มเทความคิดว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตสร้างตลาดที่เป็นธรรมมากขึ้นได้อย่างไร และแท่งลูกอมเพซก็ทำให้เขาเห็นทางสว่าง เว็บไซต์การประมูลที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกันคือ ตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ปลายปี 2538 โอมิดยาร์เปิดเว็บไซต์การประมูลโดยใช้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้ทางบ้าน ที่คิดค่าใช้จ่ายเพียง 30 เหรียญต่อเดือน ในตอนแรกทุกอย่างให้บริการฟรี แต่มีผู้สนใจมากจนผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตคิดเงินกับโอมิดยาร์เพิ่มเป็น 250 เหรียญต่อเดือน เขาจึงเริ่มคิดค่าธรรมเนียมในการนำเสนอสินค้าแต่ละชิ้น และหักเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าจากราคาขายสุดท้าย

ค่าบริการที่ส่งไปทางจดหมายถึงโอมิดยาร์ในแต่ละวันอาจดูน้อยนิด บางฉบับมีเพียงเหรียญ 10 เซ็นต์ที่ติดบนกระดาษแข็งที่ส่งมา แต่ทว่ามีจดหมายเข้ามาเป็นกองพะเนิน ในเดือนแรก เขามีรายได้ 1,000 เหรียญซึ่งมากกว่าค่าดำเนินการเสียอีก โอมิดยาร์รู้ว่าเขากำลังเดินมาถูกทาง เมื่อใส่ปากกาเลเซอร์ราคา 30 เหรียญ ซึ่งระบุว่าใช้การไม่ได้ ไว้ในรายการประมูล โดยตั้งราคาเริ่มประมูลไว้ 1 เหรียญ การประมูลเริ่มขึ้นและคนสุดท้ายที่ได้ไป จะต้องจ่ายถึง 14 เหรียญ ขณะเดียวกันรายได้ของเว็บไซต์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็น 2,500 เหรียญในเดือนที่ 2  จากนั้นเป็น 5,000 เหรียญ และ 10,000 เหรียญ ในอดีต

รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา
ในไม่ช้าโอมิดยาร์ก็พบว่า เขาตกอยู่ในฐานะคนกลางระหว่างปัญหาของผู้ซื้อกับผู้ขาย โอมิดยาร์เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันฉันมิตร เขาตัดสินใจว่าถ้าสมาชิกอีเบย์อยากร้องทุกข์ ก็ควรทำอย่างเปิดเผยบนเว็บไซต์ และถ้าผู้ค้าขายจะต่อว่าคนที่ไม่ชอบ ก็ควรจะชมเชยคนที่ชอบด้วย

และนั่นคือจุดกำเนิดของเวทีสะท้อนความคิด (Feedback Forum) หนึ่งในบริการยอดนิยมของอีเบย์ ซึ่งมีปรัชญาว่า ทุกคนเป็นคนดี หากใครทำผิด ก็ควรได้รับประโยชน์จากการรู้ถึงความผิดนั้นด้วย "ผมกลัวว่ามันจะกลายเป็นเวทีที่มีแต่คนบ่น แต่แปลกใจที่พบว่า ผู้คนชอบชมเชยกันมากกว่า" เขากล่าว

ไม่นานนักโอมิดยาร์ก็ชวน เจฟ สโกล ซึ่งจบปริญญาโทการบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมาร่วมงานด้วย พวกเขาจ้างเจ้าหน้าที่เทคนิค ฝ่ายบริการลูกค้า และฝ่ายการเงินเพิ่ม ขณะนั้นอีเบย์ดำเนินงานอยู่ที่ออฟฟิศพาร์กในเมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย สำนักงานเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง พนักงานต่อโต๊ะกันเองและนั่งทำงานบนเก้าอี้ชายหาด งานเลิกเวลา 15.00 น.เพื่อเอาใจพวกแฟนฟุตบอล

ในปี 2540 โอมิดยาร์ตั้งบริษัทร่วมทุนเบนช์มาร์ก แคพิทัล (ทุนจดทะเบียนขั้นต้น 6.5 ล้านเหรียญ ขณะนี้มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญ) หนึ่งเดือนก่อนนำอีเบย์เข้าตลาดหลักทรัพย์ โอมิดยาร์ก้าวลงจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร โดยให้ เม็ก วิตแมน ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารของแฮสโบรขึ้นดำรงตำแหน่งแทน วันที่ 24 กันยายน 2541 อันเป็นวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด ราคาหุ้นพุ่งจาก 18 เหรียญเป็น 47 เหรียญ พนักงานของอีเบย์ ร่ำรวยในพริบตา (โอมิดยาร์ถือหุ้นร้อยละ 30 ในฐานะเจ้าของ และมูลค่าหุ้นเพิ่มเป็นประมาณ 4,000 ล้านเหรียญ)

จากนั้นอีเบย์ก็มีเรื่องให้สะดุ้งสะเทือนบ้าง จากการประโคมข่าวของพวกนักข่าวมือไว เช่น ไฟฟ้าดับ 21 ชั่วโมงในเดือนมิถุนายน 2542  รายการทอล์กโชว์ภาคดึกนำเรื่องการประมูลอันน่าขายหน้า ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หรืออาจกุกันขึ้นมาล้อ เช่น คนประกาศขายไต (ราคาประมูลขึ้นไปถึง 5.7 ล้านเหรียญก่อนที่อีเบย์จะยกเลิกไป) ขายปืนบาซูกา หรือหนุ่มน้อยวัย 17 เปิดประมูลขายพรหมจรรย์ของตน เป็นต้น

กาวไซเบอร์สเปซ

ปัจจุบัน อีเบย์ยังคงเป็นอีกเว็บไซต์ที่อนาคตสดใสที่สุดในอินเทอร์เน็ต ลองคลิกเข้าไปดูการซื้อขายสินค้ามือสองจากทั่วโลก นาฬิกาแบบอาร์ตเดกโคที่คุณอยากได้มานาน มีให้ประมูลถึง 19 เรือน ของหรูหราก็มี (รถโรลส์รอยซ์) คุณอาจพบของเก่า (ฟันไดโนเสาร์) หรือของประหลาด (ป้ายระวังหนูบุก)
 

เหตุใดอีเบย์จึงประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง ปัจจัยหลักคืออีเบย์เป็นเว็บไซต์แรกในประเภทนี้ จึงครองใจผู้ซื้อและผู้ขายได้ก่อนใคร แต่ความฉลาดสุดยอดที่แท้จริงก็คือ ความสำเร็จในการสร้าง "ชุมชนซึ่งอาจเหมือนจริงมากที่สุดขึ้นในเว็บไซต์" วิตแมนกล่าว มีการเข้าชมถึง 2,400 ล้านครั้งต่อเดือน (page visit per month) ถ้าเคล็ดลับความสำเร็จของอินเทอร์เน็ตต้องอาศัยความเหนียวแน่นของบรรดาแฟนๆ วัดจากเวลาผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์ อีเบย์นับเป็นกาวที่เหนียวหนืดแห่งไซเบอร์สเปซทีเดียว ผู้เข้าชมอีเบย์แต่ละคนใช้เวลาโดยเฉลี่ย 1 ชม. 45 นาที ในแต่ละเดือน ขณะที่เว็บไซต์ Amazon ใช้เวลาเพียง 13 นาที

นอกจากนี้ อีเบย์ได้เปิดตัว เกรตคอลเล็กชันส์ (eBay Great Collection) สำหรับวัตถุโบราณและของสะสมสวยงามอีเบย์เริ่มเปิดตลาดระดับภูมิภาคสำหรับสินค้าท้องถิ่น เช่น รถยนต์และบัตรคอนเสิร์ต แต่สิ่งที่อีเบย์หวังอย่างยิ่งก็คือ การเป็นเว็บไซต์ระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันอีเบย์ได้มีการให้บริการในเว็บไซต์ย่อยในแต่ละภาษากว่า 30 ประเทศทั่วโลก

คำตอกย้ำของบริษัทที่ว่า "อีเบย์อยู่ทุกหน ทุกแห่ง" เห็นจะเป็นความจริง และโอมิดยาร์เชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ "ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น"


 ปัจจุบันอีเบย์เป็นบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 15,000 คน ช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา eBay กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา จากการจัดอันดับของ Fortune 500 และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกจดจำได้มากที่สุดของโลก

จงยึดมั่นในศรัธราของตน

จงยึดมั่นในศรัธราของตน
รู้จักให้อย่างและฏิเสธให้เป็น

มรู้จักชายร่างผอมสูงและอ่อนโยนคนหนึ่งมานานหลายปี แต่เพิ่งรู้ภายหลังว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาอาสาไปเยี่ยมนักโทษในคุกบ่อยๆเพื่อช่วยเขียนจดหมายให้ผู้ต้องขัง ส่งข่าวสาร และนำเสื้อผ้าหรือหนังสือไปให้ เมื่อไปถึงก็ไม่พูดจาสั่งสอนนักโทษ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ว่าจะต้องช่วยคนใดเป็นพิเศษ และไม่เคยหวังผลตอบแทนจากความเมตตาที่หยิบยื่นให้ แต่ทำไปเพียงเพราะเห็นว่าคนเหล่านั้นมีความทุกข์

ทำไมเขาต้องเปลืองเวลาไปกับคนที่สังคมรังเกียจ ทั้งที่น่าจะไปเล่นกอล์ฟหรือดูโทรทัศน์ เขาเคยบอกผมว่า "แม้คนอื่นจะเลิกเป็นธุระกับคนพวกนี้ แต่ผมไม่เคยท้อถอย" 

การมุ่งมั่นทำสิ่งใดโดยไม่ท้อถอยเป็นคุณสมบัติอันน่ายกย่องของนักกีฬา ทหาร ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ หรือผู้ป่วยที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บรุนแรง คนเราอาจกลายเป็นข่าวได้ หากต่อสู้กับวิบากกรรมบางอย่างด้วยความกล้าหาญ แต่ในรูปแบบชีวิตเรียบง่ายที่ไม่เป็นข่าว ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ต่อบุคคลอื่นหรือต่ออาชีพการงานมีให้เห็นอยู่ทั่วไป

ความซื่อสัตย์เช่นนี้เห็นได้จากพ่อแม่ที่ไม่เคยเลิกรักลูก แม้ลูกจะย้อมผมสีม่วง สักหน้าท้อง หรือหนีตามนักร้องเพลงร็อก คู่สามีภรรยาที่เลือกจะปรับตัวเข้าหากันแทนที่จะฟ้องหย่า อาสาสมัครตามโรงพยาบาล ห้องสมุด บ้านพักสตรี หรือโรงทานของคนยาก คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีผู้ใดสรรเสริญแต่ทำงานดี มิใช่เพราะหัวหน้าจับตามองอยู่หรือเพราะได้รับค่าตอบแทนสูง แต่เป็นเพราะตระหนักว่า งานสำคัญ

ตอนที่เจสซี ลูกชายผมเรียนอยู่ชั้นประถมหก ครูของลูกทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งเต้านม จึงเล่าเรื่องโรคนี้ให้นักเรียนฟัง พร้อมทั้งพูดถึงการผ่าตัด การบำบัดรักษา และความหวังที่จะหายป่วย เจสซีรู้สึกซาบซึ้งที่ครูวางใจ เล่าเรื่องนี้ให้นักเรียนฟัง ครูน่าจะหยุดพักอยู่กับบ้านจนครบวันลาป่วย แต่ทันทีที่อาการดีขึ้นก็กลับไปสอนตามเดิม เริ่มจากทำงานสัปดาห์ละครั้งตอนบ่าย เพิ่มเป็นสองครั้ง แล้วจึงทำงานเต็มวัน เพิ่มอีกเป็นสองวัน และสามวันตามมา

เมื่อผู้ปกครองวิตกว่าครูเอาสุขภาพมาเสี่ยงเพื่อเด็กๆ เธอกลับเห็นเป็นเรื่องตลก และกล่าวว่า "ไม่หรอกค่ะ นักเรียนเป็นยาขนานเอกของฉันเลยทีเดียว" เธอบอกอีกว่าเด็กๆคงเรียนประถมหกเพียงครั้งเดียวในชีวิต ดังนั้นจึงตั้งใจจะช่วยนักเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อโอกาสยังอำนวย

การบำบัดรักษาคงได้ผลดีเพราะผ่านไปสิบปี ครูก็ยังดูแข็งแรง เมื่อมีโอกาสพบปะกัน ครูมักถามถึงเจสซีว่ายังชอบทำตลกฉลาดเฉลียว และสนใจเรื่องเรียนอยู่เหมือนเดิม เธอดูปลื้มอกปลื้มใจขึ้นมาทีเดียว

มูลเหตุจูงใจให้เราทำดีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุใหญ่หรือประทับใจคนหมู่มาก เพื่อนผมคนหนึ่งทำงานสร้างบ้านหาเงินทุกวัน ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ และสร้างบ้านให้คนจนอยู่ฟรี ในโครงการซึ่งริเริ่มโดยรัฐบาล ส่วนเพื่อนบ้านอีกคนทำตัวพร้อมเสนอที่จะให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาต่างชาติและครอบครัวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างถิ่น เพื่อนบ้านคนอื่นๆเป็นโคชสอนทีมฟุตบอล เยี่ยมไข้คนป่วย ขับรถบริการคนป่วยหรือคนแก่ ที่ไปไหนมาไหนลำบาก ช่วยสอนเด็กที่ออกจากโรงเรียนก่อนจบการศึกษา และสอนผู้ใหญ่ให้อ่านหนังสือออก

ผมสามารถยกตัวอย่างเช่นนี้ได้อีกเป็นร้อยโดยไม่ต้องไปมองหาไกลบ้าน คุณก็คงทำได้เช่นกัน ชุมชนที่น่าอยู่ต้องมีเครือข่ายของคนที่มุ่งมั่นจะทำดี และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น มิฉะนั้นแล้วอาจแตกแยกได้ การกล่าวว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำเช่นนั้นได้ง่ายดาย ไม่เหน็ดเหนื่อย หรือไม่เสียอะไรเลย แต่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจและอาจใช้เวลาชั่วชีวิต

ม้เราจะตอบรับคำขอบางเรื่องได้อย่างหนักแน่น แต่ก็ต้องปฏิเสธอย่างแข็งขันให้เป็นด้วย วันอาทิตย์วัันหนึ่งขณะผมยืนคุยกับชายคนที่ชอบไปเยี่ยมนักโทษอยู่นั้น ก็มีหญิงสาวเข้ามาขอให้เขาเป็นกรรมการบริหารของกลุ่มสันติภาพใหม่ ที่เธอกำลังก่อตั้ง เธอรีบสาธยายว่าทำไมงานนี้จึงสำคัญ ทำไมช่วงนี้เขาจึงเหมาะจะทำงานนี้ ทำไมเธอจึงต้องการความเป็นผู้นำของเขา ผมคิดเอาเองว่าคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างเขาคงตอบรับ แต่เขาจ้องมองหญิงคนนั้นอย่างสุขุมสักพัก แล้วตอบว่า "เรื่องที่เล่านั้นฟังดูสำคัญจริงๆ คุ้มค่ากับการที่คุณจะทุ่มแรงกายแรงใจ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจ"

สิ่งท้าทายสำหรับเราทุกคนก็คือ ต้องถามตนเองว่า ทำงานนั้นๆเพื่ออะไร แล้วทำให้เต็มที่ การซื่อสัตย์ต่อเสียงเรียกร้องที่อยู่ในใจ จะทำให้เราสามารถสร้างรูปแบบชีวิตที่ดำเนินไปอย่างมีจุดหมายได้

หากคุณพยายามแก้ปัญหาทั้งหลายในโลกให้ได้พร้อมกันทีเดียว คุณอาจท้อถอยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณกำหนดขอบเขตการทำงานของตนเองหรือพยายามแก้ปัญหาเท่าที่ทำได้ คุณอาจทำงานได้สำเร็จมากมาย ขณะเดียวกัน ขอให้เชื่อใจว่าคนอื่นก็กำลังทำงานของเขาด้วยศรัธราแรงกล้าอยู่ที่ไหนสักแห่งเช่นกัน
ตลาดออนไลน์ !